Bloody Romance

Description

 

Bloody Romance
© Gdragonism 2012
Do not copy or repost without permission
 
 

Foreword

 

ณ มหานครลอนดอน ประเทศอังกฤษ

ยุคสมัยที่มนุษย์มิได้เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเดียวในสังคม 

หากแต่สิ่งมีชีวิตหลากหลายเผ่าพันธุ์ล้วนดำรงอยู่ในวิถีแห่งการเดินทางร่วมกับมนุษย์มาอย่างยาวนาน

‘แม่มด’  ‘ภูตผี’ รวมทั้ง ‘ไลเคน’ หรือที่คนทั่วไปรู้จักกันในนามมนุษย์หมาป่า

แม้แต่ ‘แวมไพร์’ ก็ออกมาเดินตามท้องถนนได้โดยไม่ต้องอาศัยอย่างหลบๆซ่อนๆ

การอาศัยอยู่ร่วมกันนี้คงดำเนินต่อไปอย่างราบเรียบ

หากไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคิดตั้งตัวเป็นใหญ่แทนเหล่ามวลมนุษยชาติที่ถือว่าตนเป็นเจ้าของแผ่นดินนี้

 

‘แวมไพร์’

สิ่งมีชีวิตกระหายเลือดผู้หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรี

ที่เชื่อว่าตัวเองมีพลังและอำนาจมากกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นทั้งหลาย

แวมไพร์ดำรงชีพอยู่ได้โดยอาศัยเลือดเป็นอาหาร และเป็นสิ่งมีชีวิตที่มนุษย์ทั้งหลายต่างหวาดกลัว

ภายในระยะเวลาไม่นาน เผ่าพันธุ์แวมไพร์ได้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว

จนบังอาจคิดว่าเผ่าพันธุ์ของตนจะเป็นใหญ่ในโลกใบนี้ได้

นครลอนดอนแห่งนี้จึงเป็นอีกแห่งหนึ่งที่แวมไพร์แฝงตัวปะปนกับชนชั้นสูงในสังคม

ตระกูลนักล่าอมตะหลายต่อหลายตระกูลมีอิทธิพลทางการเมืองและเศรษฐกิจของอังกฤษอย่างแพร่หลาย

แต่กระนั้น เศษเดนของแวมไพร์ก็ปรากฏได้ทั่วไปตามท้องถนนในยามราตรี

 

“กรี๊ด ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด !!!”

เสียงกรีดร้องดังกึกก้องท่ามกลางความโกลาหลของค่ำคืนภายในตรอกเล็กๆแห่งหนึ่ง

ชายหญิงมากมายกำลังวิ่งหนีตายอลหม่าน มองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยความหวาดผวาของมนุษย์

ผู้มีสัญชาตญาณการเอาตัวรอดเพื่อรักษาชีวิตของตน ..

บนท้องฟ้ายามรัตติกาลในคืนพระจันทร์เต็มดวง

เหล่าแวมไพร์กระหายเลือด บินโฉบเฉี่ยวไล่ล่าเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายกันอย่างคึกคะนอง

เสียงหวีดร้องขอชีวิตดังระงมแข่งกับเสียงหัวเราะอย่างอำมหิตของสัตว์ผู้หิวโหย

ช่างเป็นภาพที่น่าสยดสยองที่พบเห็นกันได้บ่อยขึ้นระยะนี้

แต่ในความวุ่นวาย กลับมีเพียงชาย 2 คนที่เดินสวนทางกับเหตุการณ์อลหม่าน

เข้ามาร่วมวงโดยไม่ได้รับเชิญ .. เพราะเป้าหมายของพวกเค้าคือการจัดการกับแวมไพร์กักขฬะ

 

‘ ควับ บบบบบบบบ !!! ’

เสียงกรงเล็บคมแหวกผ่านอากาศควักเอาหัวใจที่เลือดยังคงฉีดพล่าน

ดับลมหายใจอมตะของแวมไพร์ชั้นต่ำผู้อวดดีอย่างง่ายดาย

คนแล้วคนเล่า .. จนความโกลาหลเมื่อครู่ยุติลง

ชายในร่างสูงใหญ่ของสัตว์ป่าผู้สง่างาม เจ้าของกรงเล็บที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดแดงฉาน

ค่อยๆกลายร่างกลับเป็นมนุษย์ตามเดิม ชายหนุ่มแสยะยิ้มพอใจกับผลงานของตน

ก้มมองดูร่างไร้วิญญาณของแวมไพร์ที่นอนเกลื่อนอย่างน่าสมเพชปะปนกับร่างของเหยื่อที่ถูกสูบเลือดจนหมดร่าง

 

“หึ ! ไอ้พวกแวมไพร์ไร้สมอง บังอาจคิดจะครอบครองอังกฤษ เร็วไปล้านปี”

คำพูดดูแคลนออกจากปากของทายาทผู้สืบทอดสายเลือดตระกูลยิ่งใหญ่แห่งเผ่าพันธุ์ไลเคน

‘ควอนจียง’ เค้าค่อยๆเดินผ่านศพที่เค้าเป็นคนจัดการ

โดยไม่คิดจะชายตามองสิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจในสายตาเค้าเพียงสักนิด ..

 

“เฮ้ จี !! เจ้าจัดการไปได้กี่คน?”

เสียงร้องทักดังมาแต่ไกลพร้อมใบหน้าที่ยิ้มแย้มของ ‘ทงยองเบ’

ซึ่งรีบวิ่งเข้ามาสมทบกับเพื่อนรักจากด้านหลัง

“ไม่เห็นต้องเสียเวลานับ ข้าได้มากกว่าเจ้าอยู่แล้ว”

จียงพูดอย่างเหนือกว่าพร้อมยักคิ้วให้เพื่อน

ยองเบหัวเราะร่าในความมั่นใจที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงของเพื่อนคนนี้

“เออๆ อย่าให้วันไหนข้าเก่งกว่าเจ้าแล้วกัน ..ว่าแต่ไม่คิดเลยนะว่ายังมีแวมไพร์ปัญญาอ่อน

กล้าออกมาเพ่นพ่านในคืนพระจันทร์เต็มดวงแบบนี้อีก รู้ก็รู้ว่าต้องเจอกับอะไร..”

ยองเบหมายความตามความจริงซึ่งรู้กันดีระหว่างเหล่าแวมไพร์และไลเคน คู่ปรับตลอดกาล

ว่าผู้เป็นใหญ่ในคืนวันเพ็ญเช่นนี้ ย่อมหนีไม่พ้นไลเคน เผ่าพันธุ์มนุษย์หมาป่าผู้รับอิทธิพลจากแสงจันทร์

 

“เอาเถอะ แวมไพร์ไม่ได้มีแค่พวกชนชั้นสูงนี่ พวกกากเดนแบบนี้คงไม่ใช่เลือดบริสุทธิ์หรอก”

“แต่ก็ดีนะ เพราะถ้าไม่มีไอ้พวกนี้ เราก็หมดสนุกกันพอดีล่ะสิ 5555 ไว้คราวหน้าข้าจะเอาชนะเจ้าให้ดู”

“เฮ่ย ยย !!! ยองเบ เจ้ากลับไปก่อนละกัน คืนนี้ข้ามีธุระ ไปนะ~”

จียงก้มมองดูนาฬิกาพกแล้วรีบกล่าวลาเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้

ชายหนุ่มหายจากไปรวดเร็วทิ้งเพื่อนอีกคนให้ยืนงงอยู่ที่เดิม

“เฮ้ นั่นเจ้าจะไปไหน !!?? จี เฮ้ย ยย จียง !!!!”

.

.

แสงนวลของพระจันทร์เต็มดวง สาดส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่ภายในคฤหาสน์หรูใจกลางกรุงลอนดอน

ซึ่งเป็นของหนึ่งในตระกูลแวมไพร์ชั้นสูงที่เก่าแก่อย่างตระกูลปาร์ค

บุตรสาวคนสุดท้องของตระกูลกำลังนั่งเกยคางกับแขนทั้งสองข้างที่วางอยู่บนขอบหน้าต่าง

แหงนหน้ามองไปยังส่วนที่งดงามที่สุดของแผ่นฟ้า ..

คนตัวเล็กทำหน้ามุ่ยถอนหายใจหลายต่อหลายครั้งเหมือนกำลังไม่พอใจอะไรบางอย่าง

ในที่สุดเสียงของคนที่พึ่งเข้ามาก็ดังขึ้น ..

 

“ดาร่า”

หญิงสาวสะดุ้งตัวนิดๆ แต่ก็ยังนิ่ง ไม่ยอมหันกลับไปมองคนที่เอ่ยเรียก

“ดาร่า เจ้าจะดื้อไปถึงไหน พี่ให้คนมาเรียกหลายต่อหลายครั้ง ทำไมเจ้าไม่ลงไปทานอาหารค่ำ”

‘ ปาร์คฮันบยอล’ พี่สาวคนสนิทของดาร่า ภรรยาคนงามของ ‘ปาร์คดองอุค’ หรือที่รู้จักกันในนามse7en

ผู้นำตระกูลรุ่นใหม่ถามอย่างเหนื่อยใจ .. เด็กคนนี้เอาใจยากจริงๆ บทจะดื้อขึ้นมา ใครๆในคฤหาสน์ก็ไม่อยากยุ่งด้วย

“ไม่หิว”  ดาร่าตอบห้วนๆ ยังคงมองออกไปนอกหน้าต่างเช่นเดิม

ฮันบยอลถอนหายใจแล้วจึงเดินไปนั่งข้าง

“ท่านพ่อท่านแม่ และดองอุคหวังดีต่อเจ้านะ เจ้าก็รู้นี่ว่าวันนี้พระจันทร์เต็มดวง”

ผู้เป็นพี่พยายามอธิบายด้วยเหตุผลให้เข้าใจ แต่ไม่มีทางหรอกที่เด็กดื้อผู้ถูกตามใจมาตลอดจะยอมฟัง

 

“แต่พี่ดองอุคสัญญากับข้าแล้วนะ อีกอย่างไม่เห็นจะต้องไปกลัวเลย ขี้ขลาดกันจริงๆ ..

ก็แค่พวกไลเคน ไลเคนสกปรกไม่มีทางไปอยู่ในโรงละครอยู่แล้ว”

ดาร่าพาดพิงไปถึงคู่อริตลอดกาลด้วยความหยิ่งทระนงในความสูงส่งของเผ่าพันธุ์ตน

“เจ้าค่อยไปพรุ่งนี้ก็ได้นี่ เดี๋ยวพี่จะไปเป็นเพื่อนเจ้าเอง”

“ถ้าเป็นพรุ่งนี้ข้าต้องไปแน่อยู่แล้ว แต่ข้าอยากไปวันนี้แล้วก็อยากให้พี่ไปกับข้าด้วย นะพี่ฮันบยอล น้า~”

“เจ้าอย่าดื้อนักเลยดาร่า ใช่ว่าแฮมเลตจะฉายวันนี้แค่วันเดียวซะเมื่อไหร่ ..

ถ้าเจ้าไม่อยากลงไปข้างล่างก็ตามใจเจ้าละกัน .. มีรันจัดอาหารให้คุณหนูด้วย”

ฮันบยอลหันไปสั่งหญิงรับใช้ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู ก่อนเดินออกจากห้องไป

 

“พี่ฮันบยอลบ้า! บ้าที่สุดเลย!!! ทำไมต้องกลัวไอ้พวกหมาสกปรกกันจนหัวหดด้วยนะ ..

กะอีแค่วันพระจันทร์เต็มดวง”

ดาร่าเปรยกับตัวเองพร้องมองให้แน่ใจว่าพี่สาวคนสนิทได้ออกจากห้องไปแล้ว

คนตัวเล็กยืนขึ้นมองหน้าต่างที่เปิดกว้างอยู่พร้อมกับความคิดบางอย่างที่โลดแล่นในหัว

 

‘ยังไงข้าก็จะไป ข้าไม่กลัวหรอกพวกไลเคน’

.

.

“อ้าว คุณหนูดาร่า !? วันนี้มาคนเดียวหรือขอรับ จะเหมาชั้นลอยเหมือนเคยรึเปล่า?”

ชายเจ้าของโรงละครที่คุ้นเคยกันดีกับคนในตระกูล ..

กล่าวทักทายคนตัวเล็กที่เดินผ่านพรมแดงเข้ามาในส่วนของแขกพิเศษ

ดาร่าพยักหน้าเป็นเชิงสั่งแล้วเดินตามชายคนนั้นขึ้นไปบนชั้นลอยของโรงละคร

อันเป็นส่วนสำหรับแขกชั้นสูงผู้มีเงินหนาโดยเฉพาะ ..

พื้นที่ถูกปูด้วยพรมสีแดงเลือดนก เข้ากับม่านระย้าสีเดียวกันขลิบดิ้นทอง

พาดบดบังหน้าต่างสูงเสียดเพดานที่เรียงรายกันอยู่บนผนังด้านหลังที่นั่ง

โต๊ะไม้กลมเล็กที่แกะสลักอย่างวิจิตรงดงามรับกับเก้าอี้นวมแสนสบายบุด้วยผ้าสีขาวสะอาดตา

กลางโต๊ะมีชุดน้ำชาศิลปะสมัยวิคตอเรียและกล้องส่องทางไกลจัดตรียมไว้พร้อมสรรพ

 

ดาร่านั่งลงบนเก้าอี้นวมตัวใหญ่ที่ทำให้ร่างของเธอดูเล็กลงถนัดตา

ในที่สุดไฟทุกดวงภายในโรงละครก็หรี่ลง

ต่างกับแสงไฟบนเวทีที่สว่างจ้าขึ้นกลายเป็นจุดสนใจของทุกสายตา

คนตัวเล็กจับจ้องไปยังกลางเวทีด้วยความตื่นเต้น

และแล้ว .. แฮมเลต บทประพันธ์อันลือชื่อในรอบปฐมทัศน์ก็เริ่มต้นขึ้น ..

.

.

เสียงระฆังตีบอกเวลาจากหอนาฬิกาดังก้องไปทั่วเมือง

จียงกำลังพยายามแอบเข้าไปในโรงละคร เพราะไม่อยากจ่ายเงินค่าตั๋วอันแพงลิบลิ่ว

ให้กับสถานที่ที่ลักลอบเข้าไปได้ง่ายราวกับปลอกกล้วยเช่นนี้

เพื่อที่จะได้ดูละครที่เค้าโปรดปรานมาตั้งแต่เด็กๆ .. แฮมเลต

 

ร่างสูงใช้ช่องทางที่คุ้นเคยภายในตรอกบริเวณข้างโรงละคร

เมื่อมองซ้ายมองขวาว่าปลอดคนดีแล้ว ไลเคนหนุ่มจึงถือโอกาสเปลี่ยนร่างของตน ..

ให้มีกรงเล็บและอุ้งเท้าที่แข็งแรงพอจะปีนขึ้นไปบนกำแพงสูงชันได้

ก่อนจะกระโดดเอย่างรวดเร็วด้วยท่าทางที่ชำนาญ เข้าสู้หน้าต่างสูงของโรงละครโดยไม่ทันเป็นที่สังเกต

 

เมื่อเท้าก้าวลงบนพรมนุ่ม

จียงสอดส่ายสายตามองไปทั่วบริเวณชั้นลอยของโรงละครที่เค้าได้เข้ามาเรียบร้อยแล้ว

ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเองเมื่อเห็นว่าทั้งชั้นนี้ไร้ผู้คนตามที่คาดไว้

ที่นั่งราคาแพงเช่นนี้ไม่บ่อยนักที่จะมีใครเข้ามาใช้บริการ

เค้ารีบตรงไปยังเก้าอี้พนักสูงตัวหนึ่งซึ่งเป็นที่ประจำของเค้าเวลาเข้ามาที่นี่

ก่อนจะจับจ้องสายตาไปยังเวทีเบื้องล่างที่เนื้อเรื่องกำลังเข้มข้น ..

 

ไม่นานนัก ในระหว่างที่ไลเคนหนุ่มกำลังเพลิดเพลินไปกับฉากสะเทือนใจที่สุดของเรื่อง

เสียงบางอย่างที่ดังขึ้นก็ทำให้เค้าต้องประหลาดใจ ..

เสียงสะอึกสะอื้นแผ่วเบาลอยมาจากเก้าอี้นวมตัวที่อยู่เยื้องไปด้านหน้า

‘ มีคนอยู่บนชั้นลอยอีกคน ! ’ ..

 

ในตอนแรกจียงตั้งใจจะดูอยู่เงียบๆ แล้วรีบจากไปโดยไม่ให้ใครคนนั้นรู้ตัว

แต่เสียงครางหวานเหมือนพยายามห้ามตัวเองให้หยุดสะอื้นนั้น

ช่างฟังดูน่าสงสารและยั่วยวนในเวลาเดียวกัน

จนทำให้อดที่จะอยากเห็นใบหน้าที่เค้ากำลังจินตนาการอยู่ในใจตอนนี้ไม่ได้

ชายหนุ่มเลิกสนใจกับเนื้อเรื่องของบทละครที่เค้าโปรดปรานทันที

ก่อนลุกขึ้นเต็มความสูง สายตาคมดั่งหมาป่าเพ่งมองไปยังเก้าอี้ที่เป็นบ่อเกิดเสียง

พร้อมกับสองขาที่สืบเท้าเข้าไปใกล้อย่างช้าๆ

ยิ่งใกล้เท่าไหร่ เสี้ยวใบหน้าขาวนวลก็ยิ่งกระจ่างชัดขึ้นทุกที

หัวใจของจียงตอนนี้เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งใกล้เท่าไหร่ก็เหมือนยิ่งต้องการเข้าใกล้อีกโดยไม่รู้ตัว

‘ สาวน้อย เจ้าเป็นใครกันนะ? ’

 

ผิวขาวนวลต้องแสงไฟสีส้มที่หรี่ลงจนแทบจะดับ ..

แต่นั่นก็ยังช่วยขับความผุดผ่องของเนื้อผิวนุ่มให้ดูน่าสัมผัสจนแทบจะอดใจไม่ไหว

คิ้วโก่งเรียวสีน้ำตาลอ่อนเพิ่มความคมของดวงตาสวยมีเสน่ห์ที่ดึงดูดอย่างน่าประหลาด

รับกับสันจมูกโด่งได้รูปรั้นนิดๆ ริมฝีปากสีแดงฉานดั่งเลือดแต่กลับแลดูเป็นธรรมชาติ

กำลังเม้มเป็นครั้งคราว เมื่อประกอบกับลิ้นสีชมพูที่โผล่ออกมาเลียเรียวปากบางนิดๆ

เมื่อเจ้าตัวรู้สึกประหม่ายิ่งดูยั่วยวนชวนสัมผัส ..

และแน่นอนที่พวงแก้มสีขาวเนียนนั้น มีคราบน้ำใสๆเปรอะเปื้อนเป็นทางเรื่อยลงมาถึงคางมน

 

เจ้าของใบหน้าที่เรียกได้ว่าสวยจัดในความคิดของจียง

ไม่ได้สังเกตเห็นเค้าเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าตอนนี้เค้าจะอยู่ใกล้มากแล้วก็ตาม

จียงมองใบหน้าที่งดงามราวกับตุ๊กตากระเบื้องอย่างไม่สามารถละสายตาได้

ในสมองคิดเพียงแค่อยากเข้าไปใกล้อีกนิด อีกนิด และอีกนิด ..

 

‘ตุ้บ บบบบบบบบ !!! ’

 

โดยไม่ทันระวัง แขนของจียงกลับปัดถูกแก้วน้ำชาบนโต๊ะข้างตัวหล่นลงมาบนพื้นพรมนุ่ม

เกิดเสียงไม่ดังนัก แต่ก็เพียงพอจะทำให้คนที่นั่งอยู่สะดุ้งตัวก่อนหันมามองโดยอัตโนมัติ

จียงอ้าปากค้างมองไปยังคนสวยที่รู้ตัวแล้วว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาบนชั้นลอยโดยพลการ

คิ้วสวยขมวดมุ่นด้วยความตกตะลึงปนกับความไม่พอใจ

แต่เมื่อตั้งสติได้มีหรือที่แวมไพร์อย่างดาร่าจะอยู่เฉยๆ ..

 

“ใครก็ได้ ขึ้นมาบะ .. ”

เสียงขอความช่วยเหลือของดาร่าต้องขาดหายไป

เมื่อจียงปราดเข้ามาปิดปากที่กำลังจะทำให้เค้าต้องเดือดร้อน

“ชู่ววว ! เบาๆหน่อยสิ”

จียงที่ซ้อนอยู่ด้านหลังพูดเสียงแผ่วเบากับหลังหูของคนในอ้อมกอด

เสียงกระซิบกับลมหายใจสม่ำเสมอที่ปะทะแก้มใส ทำให้ดาร่าเกิดความรู้สึกแปลกประหลาด

ริมฝีปากนุ่มของใครอีกคนอยู่แทบจะติดกับแก้มเธออย่างไม่น่าให้อภัย

คนตัวเล็กขมวดคิ้วมุ่นอย่างขัดใจ ..

‘ เป็นใครกันถึงกล้าเอาตัวมาแนบชิดกับข้าขนาดนี้? ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเอาซะเลย ’

ดาร่าเริ่มหงุดหงิดขึ้นมา ก่อนจะอ้าปากงับมือที่ปิดปากอยู่เต็มแรง

 

“โอ้ย ยย! ..”   เสียงร้องลั่นของไลเคนหนุ่มขาดช่วงไปเพราะเจ้าตัวพยามระงับไว้

“เจ็บนะ!!”   จียงตะคอกคนที่ยืนทำหน้ามุ่ยเสียงค่อย

“สมควรแล้ว เจ้าเป็นใครถือดียังไงมาแตะต้อองตัวข้า!!!”  ดาร่าต่อว่าอย่างเคืองๆ

“ก็ไม่ยักรู้ว่าหวงตัว”   จียงพูดพร้อมยิ้มกวน

รู้สึกว่าใบหน้ายุ่งๆของคนที่กำลังโกรธช่างน่ามองกว่าอะไรทั้งหมด

ขี้โมโหอย่างงี้ น่ารักดี ..

“ออกไปเดี๋ยวนี้ เจ้าคนถ่อย!!! ก่อนที่ข้าจะเรียกการ์ด”

ร่างบอบบางพูดด้วยดวงตาดุคม จียงมองไปยังเวทีเบื้องล่างก็ต้องยิ้มขำก่อนจะเอ่ยขึ้น ..

“ได้ ข้ากำลังจะไปพอดี..“

ชายหนุ่มยังมองค้างอยู่ทีเดิม ทำให้อีกฝ่ายต้องหันไปมองตาม

บนเวทีนักแสดงทั้งหมดมายืนเรียงรายกันโค้งให้ผู้ชมที่กำลังปรบมือสนั่นโรงละคร

พร้อมกับม่านที่ค่อยๆเลื่อนปิดลง .. อันเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าการแสดงได้จบลงแล้ว

 

ร่างสูงหันกลับมามองอีกคนก็ต้องหัวเราะเบาๆ เพราะตอนนี้ใบหน้าของดาร่าทั้งเหวอทั้งโกรธ

เมื่อรุ้ตัวว่าได้พลาดฉากสุดท้ายของการแสดงไปเสียแล้ว

ไม่ยืนรอให้โดนด่า ไลเคนหนุ่มหันหลังเดินไปยังหน้าต่างบานเดิม

มือใหญ่แหวกผ้าม่านแล้วเปิดหน้าต่างทรงสูงออก

สายลมแรงพัดผ่านเข้ามาปะทะม่านราคาแพงจนปลิวไสว

 

ดาร่าที่เพิ่งรู้สึกตัวหันมองตามภาพนั้นอย่างไม่อาจลดละสายตา

แสงจันทร์ที่สาดส่องทำให้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มเมื่อครู่ได้ชัดเจนขึ้น

ผมสั้นสีน้ำตาลอ่อนตัดสั้นรับกับใบหน้าคม เจ้าของดวงตาเรียวดุจหมาป่าที่เต็มไปด้วยเสน่ห์

ริมฝีปากได้รูปกำลังยิ้มที่มุมปากให้เธอ ก่อนจะยกมือขึ้นเป็นเชิงบอกลา

“ไปนะ”   ไลเคนหนุ่มขยิบตาก่อนจะกระโดดลงไป

ดาร่าตาโตด้วยความแปลกใจรีบปราดไปยังหน้าต่างบานนั้นที่ยังเปิดค้างอยู่

คนตัวเล็กยื่นหน้าออกนอกหน้าต่างเพ่งสายตาไปยังพื้นข้างล่าง

ตรอกเล็กๆไร้แสงไฟไม่มีแม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิต

จากความสูงระดับนี้ที่เทียบได้กับตึก 4 ชั้น ..  ‘ เจ้าไม่ใช่มนุษย์สินะ? ’

 

ระหว่างกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความคิด จู่ๆก็รู้สึกถึงเงามืดบางอย่างที่เคลื่อนเข้ามารวดเร็ว

แต่ไม่ทันได้หันไปมองก็รับรู้ถึงแรงสัมผัสที่พวงแก้มเบาๆโดยไม่ทันตั้งตัว

คนตัวเล็กตกใจเอามือกุมแก้มโดยอัตโนมัติก่อนหันขวับ แล้วก็ต้องผงะหนีทันทีเมื่อพบกับ ..

ใบหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์ของชายแปลกหน้าเมื่อครู่ที่อยู่ห่างไปเพียงไม่กี่เซน

 

ดาร่ากวาดตาสำรวจโดยรอบ ร่างสูงใหญ่คนเดิมในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว

ติดกระดุมเพียงสองเม็ดล่างเผยให้เห็นช่วงอกกว้าง

มือแข็งแกร่งที่โผล่พ้นแขนเสื้อทั้งสองข้างมีกรงเล็บยาวเกาะอยู่กับกำแพงอิฐอย่างมั่นคง

เช่นเดียวกับอุ้งเท้าที่ยึดรับน้ำหนักตัวไว้

ไม่ต้องสงสัย สิ่งที่เห็นทำให้บุตรสาวตระกูลเชวชาวาบไปทั้งร่าง .. ‘ นี่เจ้าเป็น ?? ’

จียงมองใบหน้าที่กำลังตื่นตะลึง ก่อนจะสังเกตเห็นคราบน้ำตา

ที่ยังคงเปรอะเปื้อนเป็นรอยจางๆจากความเศร้าโศกของบทละครเมื่อครู่อยู่ที่แก้มเนียนใส

ไร้ซึ่งคำพูด ร่างสูงละมือที่เกาะไว้เปลี่ยนมันกลับเป็นมือมนุษย์ข้างหนึ่ง

ก่อนบรรจงเอื้อมเช็ดคราบน้ำตานั้นอย่างอ่อนโยน ..

 

“แล้วเจอกันนะ เด็กขี้แย”

สิ้นคำพูดจียงถีบตัวกระโจนสู่พื้นด้านล่างอย่างรวดเร็ว ไม่นานร่างสูงใหญ่ก็หายวับไปในความมืด

หลังจากยืนตะลึงอยู่นานกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น

มีเพียงคำพูดเดียวทีหลุดออกมาจากปากของแวมไพร์สาวโดยไม่รู้ตัวดังขึ้นผ่านสายลมที่พัดหวิว

 

 “ไลเคน ..”

Comments

You must be logged in to comment
ryouchi_chan
#1
WHAT???????
ryouchi_chan
#2
WHAT???????
JunielPanda
#3
plz engver T_T i can't understand
ammie16 #4
สนุกมากเลยค่ะ อย่าลืมมาอัพต่อนะคะ