Bloody Romance
Description
Foreword
ณ มหานครลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ยุคสมัยที่มนุษย์มิได้เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเดียวในสังคม
หากแต่สิ่งมีชีวิตหลากหลายเผ่าพันธุ์ล้วนดำรงอยู่ในวิถีแห่งการเดินทางร่วมกับมนุษย์มาอย่างยาวนาน
‘แม่มด’ ‘ภูตผี’ รวมทั้ง ‘ไลเคน’ หรือที่คนทั่วไปรู้จักกันในนามมนุษย์หมาป่า
แม้แต่ ‘แวมไพร์’ ก็ออกมาเดินตามท้องถนนได้โดยไม่ต้องอาศัยอย่างหลบๆซ่อนๆ
การอาศัยอยู่ร่วมกันนี้คงดำเนินต่อไปอย่างราบเรียบ
หากไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคิดตั้งตัวเป็นใหญ่แทนเหล่ามวลมนุษยชาติที่ถือว่าตนเป็นเจ้าของแผ่นดินนี้
‘แวมไพร์’
สิ่งมีชีวิตกระหายเลือดผู้หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรี
ที่เชื่อว่าตัวเองมีพลังและอำนาจมากกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นทั้งหลาย
แวมไพร์ดำรงชีพอยู่ได้โดยอาศัยเลือดเป็นอาหาร และเป็นสิ่งมีชีวิตที่มนุษย์ทั้งหลายต่างหวาดกลัว
ภายในระยะเวลาไม่นาน เผ่าพันธุ์แวมไพร์ได้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว
จนบังอาจคิดว่าเผ่าพันธุ์ของตนจะเป็นใหญ่ในโลกใบนี้ได้
นครลอนดอนแห่งนี้จึงเป็นอีกแห่งหนึ่งที่แวมไพร์แฝงตัวปะปนกับชนชั้นสูงในสังคม
ตระกูลนักล่าอมตะหลายต่อหลายตระกูลมีอิทธิพลทางการเมืองและเศรษฐกิจของอังกฤษอย่างแพร่หลาย
แต่กระนั้น เศษเดนของแวมไพร์ก็ปรากฏได้ทั่วไปตามท้องถนนในยามราตรี
“กรี๊ด ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด !!!”
เสียงกรีดร้องดังกึกก้องท่ามกลางความโกลาหลของค่ำคืนภายในตรอกเล็กๆแห่งหนึ่ง
ชายหญิงมากมายกำลังวิ่งหนีตายอลหม่าน มองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยความหวาดผวาของมนุษย์
ผู้มีสัญชาตญาณการเอาตัวรอดเพื่อรักษาชีวิตของตน ..
บนท้องฟ้ายามรัตติกาลในคืนพระจันทร์เต็มดวง
เหล่าแวมไพร์กระหายเลือด บินโฉบเฉี่ยวไล่ล่าเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายกันอย่างคึกคะนอง
เสียงหวีดร้องขอชีวิตดังระงมแข่งกับเสียงหัวเราะอย่างอำมหิตของสัตว์ผู้หิวโหย
ช่างเป็นภาพที่น่าสยดสยองที่พบเห็นกันได้บ่อยขึ้นระยะนี้
แต่ในความวุ่นวาย กลับมีเพียงชาย 2 คนที่เดินสวนทางกับเหตุการณ์อลหม่าน
เข้ามาร่วมวงโดยไม่ได้รับเชิญ .. เพราะเป้าหมายของพวกเค้าคือการจัดการกับแวมไพร์กักขฬะ
‘ ควับ บบบบบบบบ !!! ’
เสียงกรงเล็บคมแหวกผ่านอากาศควักเอาหัวใจที่เลือดยังคงฉีดพล่าน
ดับลมหายใจอมตะของแวมไพร์ชั้นต่ำผู้อวดดีอย่างง่ายดาย
คนแล้วคนเล่า .. จนความโกลาหลเมื่อครู่ยุติลง
ชายในร่างสูงใหญ่ของสัตว์ป่าผู้สง่างาม เจ้าของกรงเล็บที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดแดงฉาน
ค่อยๆกลายร่างกลับเป็นมนุษย์ตามเดิม ชายหนุ่มแสยะยิ้มพอใจกับผลงานของตน
ก้มมองดูร่างไร้วิญญาณของแวมไพร์ที่นอนเกลื่อนอย่างน่าสมเพชปะปนกับร่างของเหยื่อที่ถูกสูบเลือดจนหมดร่าง
“หึ ! ไอ้พวกแวมไพร์ไร้สมอง บังอาจคิดจะครอบครองอังกฤษ เร็วไปล้านปี”
คำพูดดูแคลนออกจากปากของทายาทผู้สืบทอดสายเลือดตระกูลยิ่งใหญ่แห่งเผ่าพันธุ์ไลเคน
‘ควอนจียง’ เค้าค่อยๆเดินผ่านศพที่เค้าเป็นคนจัดการ
โดยไม่คิดจะชายตามองสิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจในสายตาเค้าเพียงสักนิด ..
“เฮ้ จี !! เจ้าจัดการไปได้กี่คน?”
เสียงร้องทักดังมาแต่ไกลพร้อมใบหน้าที่ยิ้มแย้มของ ‘ทงยองเบ’
ซึ่งรีบวิ่งเข้ามาสมทบกับเพื่อนรักจากด้านหลัง
“ไม่เห็นต้องเสียเวลานับ ข้าได้มากกว่าเจ้าอยู่แล้ว”
จียงพูดอย่างเหนือกว่าพร้อมยักคิ้วให้เพื่อน
ยองเบหัวเราะร่าในความมั่นใจที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงของเพื่อนคนนี้
“เออๆ อย่าให้วันไหนข้าเก่งกว่าเจ้าแล้วกัน ..ว่าแต่ไม่คิดเลยนะว่ายังมีแวมไพร์ปัญญาอ่อน
กล้าออกมาเพ่นพ่านในคืนพระจันทร์เต็มดวงแบบนี้อีก รู้ก็รู้ว่าต้องเจอกับอะไร..”
ยองเบหมายความตามความจริงซึ่งรู้กันดีระหว่างเหล่าแวมไพร์และไลเคน คู่ปรับตลอดกาล
ว่าผู้เป็นใหญ่ในคืนวันเพ็ญเช่นนี้ ย่อมหนีไม่พ้นไลเคน เผ่าพันธุ์มนุษย์หมาป่าผู้รับอิทธิพลจากแสงจันทร์
“เอาเถอะ แวมไพร์ไม่ได้มีแค่พวกชนชั้นสูงนี่ พวกกากเดนแบบนี้คงไม่ใช่เลือดบริสุทธิ์หรอก”
“แต่ก็ดีนะ เพราะถ้าไม่มีไอ้พวกนี้ เราก็หมดสนุกกันพอดีล่ะสิ 5555 ไว้คราวหน้าข้าจะเอาชนะเจ้าให้ดู”
“เฮ่ย ยย !!! ยองเบ เจ้ากลับไปก่อนละกัน คืนนี้ข้ามีธุระ ไปนะ~”
จียงก้มมองดูนาฬิกาพกแล้วรีบกล่าวลาเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้
ชายหนุ่มหายจากไปรวดเร็วทิ้งเพื่อนอีกคนให้ยืนงงอยู่ที่เดิม
“เฮ้ นั่นเจ้าจะไปไหน !!?? จี เฮ้ย ยย จียง !!!!”
.
.
แสงนวลของพระจันทร์เต็มดวง สาดส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่ภายในคฤหาสน์หรูใจกลางกรุงลอนดอน
ซึ่งเป็นของหนึ่งในตระกูลแวมไพร์ชั้นสูงที่เก่าแก่อย่างตระกูลปาร์ค
บุตรสาวคนสุดท้องของตระกูลกำลังนั่งเกยคางกับแขนทั้งสองข้างที่วางอยู่บนขอบหน้าต่าง
แหงนหน้ามองไปยังส่วนที่งดงามที่สุดของแผ่นฟ้า ..
คนตัวเล็กทำหน้ามุ่ยถอนหายใจหลายต่อหลายครั้งเหมือนกำลังไม่พอใจอะไรบางอย่าง
ในที่สุดเสียงของคนที่พึ่งเข้ามาก็ดังขึ้น ..
“ดาร่า”
หญิงสาวสะดุ้งตัวนิดๆ แต่ก็ยังนิ่ง ไม่ยอมหันกลับไปมองคนที่เอ่ยเรียก
“ดาร่า เจ้าจะดื้อไปถึงไหน พี่ให้คนมาเรียกหลายต่อหลายครั้ง ทำไมเจ้าไม่ลงไปทานอาหารค่ำ”
‘ ปาร์คฮันบยอล’ พี่สาวคนสนิทของดาร่า ภรรยาคนงามของ ‘ปาร์คดองอุค’ หรือที่รู้จักกันในนามse7en
ผู้นำตระกูลรุ่นใหม่ถามอย่างเหนื่อยใจ .. เด็กคนนี้เอาใจยากจริงๆ บทจะดื้อขึ้นมา ใครๆในคฤหาสน์ก็ไม่อยากยุ่งด้วย
“ไม่หิว” ดาร่าตอบห้วนๆ ยังคงมองออกไปนอกหน้าต่างเช่นเดิม
ฮันบยอลถอนหายใจแล้วจึงเดินไปนั่งข้าง
“ท่านพ่อท่านแม่ และดองอุคหวังดีต่อเจ้านะ เจ้าก็รู้นี่ว่าวันนี้พระจันทร์เต็มดวง”
ผู้เป็นพี่พยายามอธิบายด้วยเหตุผลให้เข้าใจ แต่ไม่มีทางหรอกที่เด็กดื้อผู้ถูกตามใจมาตลอดจะยอมฟัง
“แต่พี่ดองอุคสัญญากับข้าแล้วนะ อีกอย่างไม่เห็นจะต้องไปกลัวเลย ขี้ขลาดกันจริงๆ ..
ก็แค่พวกไลเคน ไลเคนสกปรกไม่มีทางไปอยู่ในโรงละครอยู่แล้ว”
ดาร่าพาดพิงไปถึงคู่อริตลอดกาลด้วยความหยิ่งทระนงในความสูงส่งของเผ่าพันธุ์ตน
“เจ้าค่อยไปพรุ่งนี้ก็ได้นี่ เดี๋ยวพี่จะไปเป็นเพื่อนเจ้าเอง”
“ถ้าเป็นพรุ่งนี้ข้าต้องไปแน่อยู่แล้ว แต่ข้าอยากไปวันนี้แล้วก็อยากให้พี่ไปกับข้าด้วย นะพี่ฮันบยอล น้า~”
“เจ้าอย่าดื้อนักเลยดาร่า ใช่ว่าแฮมเลตจะฉายวันนี้แค่วันเดียวซะเมื่อไหร่ ..
ถ้าเจ้าไม่อยากลงไปข้างล่างก็ตามใจเจ้าละกัน .. มีรันจัดอาหารให้คุณหนูด้วย”
ฮันบยอลหันไปสั่งหญิงรับใช้ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู ก่อนเดินออกจากห้องไป
“พี่ฮันบยอลบ้า! บ้าที่สุดเลย!!! ทำไมต้องกลัวไอ้พวกหมาสกปรกกันจนหัวหดด้วยนะ ..
กะอีแค่วันพระจันทร์เต็มดวง”
ดาร่าเปรยกับตัวเองพร้องมองให้แน่ใจว่าพี่สาวคนสนิทได้ออกจากห้องไปแล้ว
คนตัวเล็กยืนขึ้นมองหน้าต่างที่เปิดกว้างอยู่พร้อมกับความคิดบางอย่างที่โลดแล่นในหัว
‘ยังไงข้าก็จะไป ข้าไม่กลัวหรอกพวกไลเคน’
.
.
“อ้าว คุณหนูดาร่า !? วันนี้มาคนเดียวหรือขอรับ จะเหมาชั้นลอยเหมือนเคยรึเปล่า?”
ชายเจ้าของโรงละครที่คุ้นเคยกันดีกับคนในตระกูล ..
กล่าวทักทายคนตัวเล็กที่เดินผ่านพรมแดงเข้ามาในส่วนของแขกพิเศษ
ดาร่าพยักหน้าเป็นเชิงสั่งแล้วเดินตามชายคนนั้นขึ้นไปบนชั้นลอยของโรงละคร
อันเป็นส่วนสำหรับแขกชั้นสูงผู้มีเงินหนาโดยเฉพาะ ..
พื้นที่ถูกปูด้วยพรมสีแดงเลือดนก เข้ากับม่านระย้าสีเดียวกันขลิบดิ้นทอง
พาดบดบังหน้าต่างสูงเสียดเพดานที่เรียงรายกันอยู่บนผนังด้านหลังที่นั่ง
โต๊ะไม้กลมเล็กที่แกะสลักอย่างวิจิตรงดงามรับกับเก้าอี้นวมแสนสบายบุด้วยผ้าสีขาวสะอาดตา
กลางโต๊ะมีชุดน้ำชาศิลปะสมัยวิคตอเรียและกล้องส่องทางไกลจัดตรียมไว้พร้อมสรรพ
ดาร่านั่งลงบนเก้าอี้นวมตัวใหญ่ที่ทำให้ร่างของเธอดูเล็กลงถนัดตา
ในที่สุดไฟทุกดวงภายในโรงละครก็หรี่ลง
ต่างกับแสงไฟบนเวทีที่สว่างจ้าขึ้นกลายเป็นจุดสนใจของทุกสายตา
คนตัวเล็กจับจ้องไปยังกลางเวทีด้วยความตื่นเต้น
และแล้ว .. แฮมเลต บทประพันธ์อันลือชื่อในรอบปฐมทัศน์ก็เริ่มต้นขึ้น ..
.
.
เสียงระฆังตีบอกเวลาจากหอนาฬิกาดังก้องไปทั่วเมือง
จียงกำลังพยายามแอบเข้าไปในโรงละคร เพราะไม่อยากจ่ายเงินค่าตั๋วอันแพงลิบลิ่ว
ให้กับสถานที่ที่ลักลอบเข้าไปได้ง่ายราวกับปลอกกล้วยเช่นนี้
เพื่อที่จะได้ดูละครที่เค้าโปรดปรานมาตั้งแต่เด็กๆ .. แฮมเลต
ร่างสูงใช้ช่องทางที่คุ้นเคยภายในตรอกบริเวณข้างโรงละคร
เมื่อมองซ้ายมองขวาว่าปลอดคนดีแล้ว ไลเคนหนุ่มจึงถือโอกาสเปลี่ยนร่างของตน ..
ให้มีกรงเล็บและอุ้งเท้าที่แข็งแรงพอจะปีนขึ้นไปบนกำแพงสูงชันได้
ก่อนจะกระโดดเอย่างรวดเร็วด้วยท่าทางที่ชำนาญ เข้าสู้หน้าต่างสูงของโรงละครโดยไม่ทันเป็นที่สังเกต
เมื่อเท้าก้าวลงบนพรมนุ่ม
จียงสอดส่ายสายตามองไปทั่วบริเวณชั้นลอยของโรงละครที่เค้าได้เข้ามาเรียบร้อยแล้ว
ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเองเมื่อเห็นว่าทั้งชั้นนี้ไร้ผู้คนตามที่คาดไว้
ที่นั่งราคาแพงเช่นนี้ไม่บ่อยนักที่จะมีใครเข้ามาใช้บริการ
เค้ารีบตรงไปยังเก้าอี้พนักสูงตัวหนึ่งซึ่งเป็นที่ประจำของเค้าเวลาเข้ามาที่นี่
ก่อนจะจับจ้องสายตาไปยังเวทีเบื้องล่างที่เนื้อเรื่องกำลังเข้มข้น ..
ไม่นานนัก ในระหว่างที่ไลเคนหนุ่มกำลังเพลิดเพลินไปกับฉากสะเทือนใจที่สุดของเรื่อง
เสียงบางอย่างที่ดังขึ้นก็ทำให้เค้าต้องประหลาดใจ ..
เสียงสะอึกสะอื้นแผ่วเบาลอยมาจากเก้าอี้นวมตัวที่อยู่เยื้องไปด้านหน้า
‘ มีคนอยู่บนชั้นลอยอีกคน ! ’ ..
ในตอนแรกจียงตั้งใจจะดูอยู่เงียบๆ แล้วรีบจากไปโดยไม่ให้ใครคนนั้นรู้ตัว
แต่เสียงครางหวานเหมือนพยายามห้ามตัวเองให้หยุดสะอื้นนั้น
ช่างฟังดูน่าสงสารและยั่วยวนในเวลาเดียวกัน
จนทำให้อดที่จะอยากเห็นใบหน้าที่เค้ากำลังจินตนาการอยู่ในใจตอนนี้ไม่ได้
ชายหนุ่มเลิกสนใจกับเนื้อเรื่องของบทละครที่เค้าโปรดปรานทันที
ก่อนลุกขึ้นเต็มความสูง สายตาคมดั่งหมาป่าเพ่งมองไปยังเก้าอี้ที่เป็นบ่อเกิดเสียง
พร้อมกับสองขาที่สืบเท้าเข้าไปใกล้อย่างช้าๆ
ยิ่งใกล้เท่าไหร่ เสี้ยวใบหน้าขาวนวลก็ยิ่งกระจ่างชัดขึ้นทุกที
หัวใจของจียงตอนนี้เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งใกล้เท่าไหร่ก็เหมือนยิ่งต้องการเข้าใกล้อีกโดยไม่รู้ตัว
‘ สาวน้อย เจ้าเป็นใครกันนะ? ’
ผิวขาวนวลต้องแสงไฟสีส้มที่หรี่ลงจนแทบจะดับ ..
แต่นั่นก็ยังช่วยขับความผุดผ่องของเนื้อผิวนุ่มให้ดูน่าสัมผัสจนแทบจะอดใจไม่ไหว
คิ้วโก่งเรียวสีน้ำตาลอ่อนเพิ่มความคมของดวงตาสวยมีเสน่ห์ที่ดึงดูดอย่างน่าประหลาด
รับกับสันจมูกโด่งได้รูปรั้นนิดๆ ริมฝีปากสีแดงฉานดั่งเลือดแต่กลับแลดูเป็นธรรมชาติ
กำลังเม้มเป็นครั้งคราว เมื่อประกอบกับลิ้นสีชมพูที่โผล่ออกมาเลียเรียวปากบางนิดๆ
เมื่อเจ้าตัวรู้สึกประหม่ายิ่งดูยั่วยวนชวนสัมผัส ..
และแน่นอนที่พวงแก้มสีขาวเนียนนั้น มีคราบน้ำใสๆเปรอะเปื้อนเป็นทางเรื่อยลงมาถึงคางมน
เจ้าของใบหน้าที่เรียกได้ว่าสวยจัดในความคิดของจียง
ไม่ได้สังเกตเห็นเค้าเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าตอนนี้เค้าจะอยู่ใกล้มากแล้วก็ตาม
จียงมองใบหน้าที่งดงามราวกับตุ๊กตากระเบื้องอย่างไม่สามารถละสายตาได้
ในสมองคิดเพียงแค่อยากเข้าไปใกล้อีกนิด อีกนิด และอีกนิด ..
‘ตุ้บ บบบบบบบบ !!! ’
โดยไม่ทันระวัง แขนของจียงกลับปัดถูกแก้วน้ำชาบนโต๊ะข้างตัวหล่นลงมาบนพื้นพรมนุ่ม
เกิดเสียงไม่ดังนัก แต่ก็เพียงพอจะทำให้คนที่นั่งอยู่สะดุ้งตัวก่อนหันมามองโดยอัตโนมัติ
จียงอ้าปากค้างมองไปยังคนสวยที่รู้ตัวแล้วว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาบนชั้นลอยโดยพลการ
คิ้วสวยขมวดมุ่นด้วยความตกตะลึงปนกับความไม่พอใจ
แต่เมื่อตั้งสติได้มีหรือที่แวมไพร์อย่างดาร่าจะอยู่เฉยๆ ..
“ใครก็ได้ ขึ้นมาบะ .. ”
เสียงขอความช่วยเหลือของดาร่าต้องขาดหายไป
เมื่อจียงปราดเข้ามาปิดปากที่กำลังจะทำให้เค้าต้องเดือดร้อน
“ชู่ววว ! เบาๆหน่อยสิ”
จียงที่ซ้อนอยู่ด้านหลังพูดเสียงแผ่วเบากับหลังหูของคนในอ้อมกอด
เสียงกระซิบกับลมหายใจสม่ำเสมอที่ปะทะแก้มใส ทำให้ดาร่าเกิดความรู้สึกแปลกประหลาด
ริมฝีปากนุ่มของใครอีกคนอยู่แทบจะติดกับแก้มเธออย่างไม่น่าให้อภัย
คนตัวเล็กขมวดคิ้วมุ่นอย่างขัดใจ ..
‘ เป็นใครกันถึงกล้าเอาตัวมาแนบชิดกับข้าขนาดนี้? ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเอาซะเลย ’
ดาร่าเริ่มหงุดหงิดขึ้นมา ก่อนจะอ้าปากงับมือที่ปิดปากอยู่เต็มแรง
“โอ้ย ยย! ..” เสียงร้องลั่นของไลเคนหนุ่มขาดช่วงไปเพราะเจ้าตัวพยามระงับไว้
“เจ็บนะ!!” จียงตะคอกคนที่ยืนทำหน้ามุ่ยเสียงค่อย
“สมควรแล้ว เจ้าเป็นใครถือดียังไงมาแตะต้อองตัวข้า!!!” ดาร่าต่อว่าอย่างเคืองๆ
“ก็ไม่ยักรู้ว่าหวงตัว” จียงพูดพร้อมยิ้มกวน
รู้สึกว่าใบหน้ายุ่งๆของคนที่กำลังโกรธช่างน่ามองกว่าอะไรทั้งหมด
ขี้โมโหอย่างงี้ น่ารักดี ..
“ออกไปเดี๋ยวนี้ เจ้าคนถ่อย!!! ก่อนที่ข้าจะเรียกการ์ด”
ร่างบอบบางพูดด้วยดวงตาดุคม จียงมองไปยังเวทีเบื้องล่างก็ต้องยิ้มขำก่อนจะเอ่ยขึ้น ..
“ได้ ข้ากำลังจะไปพอดี..“
ชายหนุ่มยังมองค้างอยู่ทีเดิม ทำให้อีกฝ่ายต้องหันไปมองตาม
บนเวทีนักแสดงทั้งหมดมายืนเรียงรายกันโค้งให้ผู้ชมที่กำลังปรบมือสนั่นโรงละคร
พร้อมกับม่านที่ค่อยๆเลื่อนปิดลง .. อันเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าการแสดงได้จบลงแล้ว
ร่างสูงหันกลับมามองอีกคนก็ต้องหัวเราะเบาๆ เพราะตอนนี้ใบหน้าของดาร่าทั้งเหวอทั้งโกรธ
เมื่อรุ้ตัวว่าได้พลาดฉากสุดท้ายของการแสดงไปเสียแล้ว
ไม่ยืนรอให้โดนด่า ไลเคนหนุ่มหันหลังเดินไปยังหน้าต่างบานเดิม
มือใหญ่แหวกผ้าม่านแล้วเปิดหน้าต่างทรงสูงออก
สายลมแรงพัดผ่านเข้ามาปะทะม่านราคาแพงจนปลิวไสว
ดาร่าที่เพิ่งรู้สึกตัวหันมองตามภาพนั้นอย่างไม่อาจลดละสายตา
แสงจันทร์ที่สาดส่องทำให้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มเมื่อครู่ได้ชัดเจนขึ้น
ผมสั้นสีน้ำตาลอ่อนตัดสั้นรับกับใบหน้าคม เจ้าของดวงตาเรียวดุจหมาป่าที่เต็มไปด้วยเสน่ห์
ริมฝีปากได้รูปกำลังยิ้มที่มุมปากให้เธอ ก่อนจะยกมือขึ้นเป็นเชิงบอกลา
“ไปนะ” ไลเคนหนุ่มขยิบตาก่อนจะกระโดดลงไป
ดาร่าตาโตด้วยความแปลกใจรีบปราดไปยังหน้าต่างบานนั้นที่ยังเปิดค้างอยู่
คนตัวเล็กยื่นหน้าออกนอกหน้าต่างเพ่งสายตาไปยังพื้นข้างล่าง
ตรอกเล็กๆไร้แสงไฟไม่มีแม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิต
จากความสูงระดับนี้ที่เทียบได้กับตึก 4 ชั้น .. ‘ เจ้าไม่ใช่มนุษย์สินะ? ’
ระหว่างกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความคิด จู่ๆก็รู้สึกถึงเงามืดบางอย่างที่เคลื่อนเข้ามารวดเร็ว
แต่ไม่ทันได้หันไปมองก็รับรู้ถึงแรงสัมผัสที่พวงแก้มเบาๆโดยไม่ทันตั้งตัว
คนตัวเล็กตกใจเอามือกุมแก้มโดยอัตโนมัติก่อนหันขวับ แล้วก็ต้องผงะหนีทันทีเมื่อพบกับ ..
ใบหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์ของชายแปลกหน้าเมื่อครู่ที่อยู่ห่างไปเพียงไม่กี่เซน
ดาร่ากวาดตาสำรวจโดยรอบ ร่างสูงใหญ่คนเดิมในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว
ติดกระดุมเพียงสองเม็ดล่างเผยให้เห็นช่วงอกกว้าง
มือแข็งแกร่งที่โผล่พ้นแขนเสื้อทั้งสองข้างมีกรงเล็บยาวเกาะอยู่กับกำแพงอิฐอย่างมั่นคง
เช่นเดียวกับอุ้งเท้าที่ยึดรับน้ำหนักตัวไว้
ไม่ต้องสงสัย สิ่งที่เห็นทำให้บุตรสาวตระกูลเชวชาวาบไปทั้งร่าง .. ‘ นี่เจ้าเป็น ?? ’
จียงมองใบหน้าที่กำลังตื่นตะลึง ก่อนจะสังเกตเห็นคราบน้ำตา
ที่ยังคงเปรอะเปื้อนเป็นรอยจางๆจากความเศร้าโศกของบทละครเมื่อครู่อยู่ที่แก้มเนียนใส
ไร้ซึ่งคำพูด ร่างสูงละมือที่เกาะไว้เปลี่ยนมันกลับเป็นมือมนุษย์ข้างหนึ่ง
ก่อนบรรจงเอื้อมเช็ดคราบน้ำตานั้นอย่างอ่อนโยน ..
“แล้วเจอกันนะ เด็กขี้แย”
สิ้นคำพูดจียงถีบตัวกระโจนสู่พื้นด้านล่างอย่างรวดเร็ว ไม่นานร่างสูงใหญ่ก็หายวับไปในความมืด
หลังจากยืนตะลึงอยู่นานกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น
มีเพียงคำพูดเดียวทีหลุดออกมาจากปากของแวมไพร์สาวโดยไม่รู้ตัวดังขึ้นผ่านสายลมที่พัดหวิว
“ไลเคน ..”
Comments