Chapter 6

Bloody Romance

 

แสงแดดยามโพล้เพล้ทำให้ท้องฟ้ากลายเป็นสีส้ม พระอาทิตย์ดวงใหญ่กำลังจะลาลับขอบฟ้า

ขณะนี้พิธีศพอันยิ่งใหญ่กำลังถูกจัดขึ้น ณ สุสานของเหล่ามนุษย์หมาป่า

บรรพบุรุษของพวกเค้ามากมายถูกฝังรวมกันอย่างสงบที่นี่ และจากนี้ไป ..

ร่างไร้วิญญาณของเหล่าผู้เสียสละจากเหตุการณ์นองเลือดที่เพิ่งเกิดขึ้นกำลังจะถูกฝังรวมกัน

ณ ที่ที่พวกเค้าจะได้พบกับความสุขนิรันดร์ ..

 

ไลเคนมากมายต่างมารวมตัวกัน ทุกคนตกอยู่ในอารมณ์เศร้าโศกเสียใจต่อการจากไปของผู้เป็นที่รัก

บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง เสียงสะอื้นเบาๆดังขึ้นเป็นครั้งคราว

ท่ามกลางพิธีสวด เกิดจากการที่เจ้าตัวไม่สามารถข่มเอาไว้ได้

ผู้คนในชุดสีดำสนิทต่างอยู่ในอาการสำรวม ยืนกันแน่นขนัดเต็ม 2 ทางเดิน

ที่ถูกกันไว้สำหรับขบวนศพที่กำลังจะดำเนินเข้ามา รถม้าสีดำคันงามควบเรียงรายกันมาอย่างเชื่องช้า

แต่ละคันมีสัญลักษณ์ประจำตระกูลหรือสังกัดของไลเคนแต่ละคนที่ถูกบรรจุอยู่ภายในโลงสีดำมันขลับ

ซึ่งหนึ่งในนั้นคือร่างของ ทงยองเบ ลูกชายของตระกูลคนสนิทที่รับใช้ตระกูลควอนมาแสนนาน ..

เมื่อรถม้าทุกคันจอดนิ่ง โลงศพแต่ละโลงก็ถูกแบกเดินเข้าไปตามทางในสุสานใหญ่

ผ่านหน้าผู้คนที่ยืนไว้อาลัย พร้อมกับเสียงแตรที่ดังขึ้นเป็นจังหวะ

 

 

สาวน้อยร่างบอบบาง หน้าตาน่ารักคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ท่ามกลางหมู่คนเหล่านั้น

ไหล่ทั้ง 2 ข้างที่ขยับขึ้นลงเบาๆตลอดเวลาทำให้รู้ได้ว่าคนๆนี้กำลังสะอื้น

ใบหน้าหวานก้มลง ดวงตาที่มีรอยช้ำเนื่องจากผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักมีน้ำใสๆไหลออกมาเป็นระยะ

ต้นเหตุความเศร้าของแชรินตอนนี้จะเป็นเพราะอะไรไปไม่ได้นอกจากการสูญเสียคนที่เรียกได้ว่า ..

เป็นพี่ชายที่แสนดีของเธอคนหนึ่งไป ถึงแม้จะทะเลาะกันตลอด แต่เธอก็รักยองเบที่สุด

ทุกครั้งที่ถูกจียงดุมา พี่ชายคนนี้ก็จะคอยปลอบโยนเธอเสมอ

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่กันที่ผูกพันจนไม่อยากจะเสียคนคนนี้ไป ..

 

“พี่แชริน ท่านไม่เป็นอะไรมากใช่มั๊ย?”

เสียงกระซิบถามเบาๆจากซึงรีที่ยืนอยู่ข้างๆไม่ได้ทำให้คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมามอง

แต่กลับส่ายหัวเบาๆเป็นการเลี่ยงตอบคำถามของน้องชายแทน

“ซึงรี พี่จียงไปไหน เจ้าเห็นมั๊ย?”

แชริมถามเสียงค่อยถึงคนที่หายไปจากบริเวณงานได้พักใหญ่ๆแล้ว

ตอนนี้เธอต้องการกำลังใจ คนที่อยู่ด้วยแล้วรู้สึกมั่นใจกว่านี้ ในยามที่รู้สึกหดหู่ที่สุดในชีวิต

เพราะตลอดมาแชรินคนนี้ไม่เคยต้องพบกับความสูญเสียเช่นนี้เลย ..

“อืม มม ไม่แน่ใจเหมือนกัน หายไปไหนก็ไม่รู้ ข้าว่าเค้าคง ..”

ยังไม่ทันที่ซึงรีจะพูดจบ เสียงสวดเป็นภาษาโบราณก็ดังขึ้นตามพิธีของไลเคนที่ปฏิบัติกันมาช้านาน

ทำให้ไลเคนหนุ่มต้องเงียบลง และยื่นมือไปกุมมือพี่สาวของเค้าไว้เป็นการปลอบใจแทน

และแล้วทั้งคู่ก็เข้าสู่พิธีอันศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกจัดขึ้นอย่างสมเกียรติเพื่อสรรเสริญเหล่าวีรบุรุษเป็นครั้งสุดท้าย

ซึ่ง ณ อีกฟากหนึ่งของเมือง ในสุสานของเหล่าแวมไพร์ พิธีเช่นเดียวกันนี้ก็ถูกจัดขึ้น

ท่ามกลางความเศร้าโศกและยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันเลย ..

 

 

พิธีการดำเนินมาจนถึงช่วงค่ำก่อนจะเสร็จสิ้นลงด้วยความเรียบร้อย ไม่มีการก่อกวน โจมตีจากทั้ง 2 ฝ่าย

ผู้คนต่างทยอยกันกลับเหลือเพียงบางคนที่ยังยืนรำลึกถึงบุคคลอันเป็นที่รัก

จนในที่สุดเวลาก็ล่วงเลยไปจนดึกดื่น ความเงียบกลับมาเยือนดินแดนแห่งคนตายนี้เหมือนเช่นเคย

แต่แล้วความสงัดนั้นก็ถูกทำลายลงเพราะใครบางคนที่กระโจนลงมาจากต้นไม้ใหญ่กลางสุสาน

ควอนจียงนั่งอยู่บนนั้นมาตั้งแต่เย็น เค้าใช้สถานที่นั้นในการทบทวนความคิดต่างๆของตนเอง

จากต้นไม้นี่ เค้ามองเห็นผู้คนมากมายทั่วทั้งงาน ได้เห็นบรรยากาศที่ไม่ต้องการเห็น

รวมทั้งได้เห็นโลงศพของเพื่อนเค้าค่อยๆถูกบรรจงฝังลงใต้ดินอย่างช้าๆ ..

แต่ขณะนี้สติสัมปชัญญะของคนผู้นี้แทบจะไม่เหลืออยู่แล้วเนื่องจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์

ไลเคนหนุ่มเดินโซเซด้วยความมึนงงตรงไปยังป้ายหลุมศพของเพื่อนรัก แล้วนั่งพิงลงหมดสภาพ

 

“อึก กก ยองเบ ลุกขึ้นมาคุยกาบบข้าก่อน นน ข้าทามถูกแล้วใช่มั๊ยยองเบที่จาแก้ อึก แค้นให้เจ้า ..

ลุกขึ้นมาคุยกานนว่าคนนั้น ดาร่าน่ะ เป็นคนฆ่าเจ้า บอกข้ามา บอกมาเซ่ว่ามาน นนม่ายจิง งงงง!!”

เสียงที่ฟังดูเมามายไร้สติในตอนแรก กลับกลายเป็นเศร้าจับใจในท้ายประโยค

เหมือนกับระบายความคิดที่ถูกฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก สิ่งที่ทำให้กลุ้มใจไม่เป็นอันกินอันนอนตลอด 3-4 วันนี้

จียงหลับตานิ่งแต่สีหน้าบ่งบอกได้ถึงความเจ็บปวดลึกๆในใจ ..

“ทำไมต้องเป็นเจ้ายองเบ ทามมมายย ยย แล้วทำมายต้องเป็นเจ้าดาร่า..”

ชายหนุ่มรำพึงรำพันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหลับลงด้วยฤทธิ์เหล้าและความเหนื่อยล้า

หารู้ไม่ว่ามีใครบางคนกำลังเฝ้าดูเค้าอยู่นานจากหลังต้นไม้ที่ไม่ไกลออกไปนัก

ร่างบอบบางออกมาจากที่ซ่อน เดินตรงอย่างแน่วแน่ไปยังที่ที่จียงนั่งหลับอยู่

ไลเคนหนุ่มรูปงามปิดเปลือกตานิ่ง เสียงลมหายใจเบาๆและแผ่นอกที่กระเพื่อมเป็นจังหวะสม่ำเสมอ

ทำให้รู้ว่าคนคนนี้ได้หลับไปแล้วจริงๆ ดาร่าลอบมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาอยู่นานสองนาน

ใบหน้าที่ยังคงมีร่องรอยของบาดแผลจากการต่อสู้ และหนึ่งในนั้น รอยเล็บข่วนเป็นทางยาว

ที่โผล่พ้นเส้นผมสีน้ำตาลที่ละแก้มออกมาบางส่วน แผลจากเล็บของเธอในคืนนั้น

คนตัวเล็กถอนหายใจก่อนจะละสายตาออกจากสิ่งที่ดึงดูดเธอเอาไว้

เบนสายตามองไปยังแผ่นหินสีเทาที่สลักชื่อของผู้ที่เธอคิดว่าคงจะเป็นยองเบที่จียงพูดถึง

 

 

คงเป็นเพราะความฝันนั้นมั้งที่นำพาเธอมาที่นี่ ถึงมันจะดูเป็นฝันที่น่ากลัว

แต่ดาร่ารู้ดีว่ามีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในลางสังหรณ์ของเธอ ..

และนี่เป็นครั้งแรกและคงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอมาเคารพศพของคนที่เธอฆ่าด้วยมือของตัวเอง

ร่างบางก้มหัวโค้งให้กับป้ายสัญลักษณ์ที่เป็นของยองเบ

‘ นี่จะถือว่าเป็นการขอโทษเจ้าได้รึป่าว? แต่ข้าคงทำได้ดีที่สุดแค่นี้ ไม่ว่าเจ้าจะยกโทษให้ข้าหรือไม่ก็ตาม

ควอนจียง ’    สิ้นสุดความคิดดาร่าหันหลังโดยตั้งใจจะเดินจากไปให้เงียบที่สุด

แต่เสียงที่ดังขึ้นก็ทำให้ 2 ขาต้องชะงักไป .. “เดี๋ยว นั่นใคร?”

จียงพูดออกมาอย่างยากลำบาก เพ่งมองภาพตรงหน้าที่ค่อยๆชัดขึ้น

ดาร่านิ่งอึ้ง ภายในหัวกำลังตัดสินใจจะทำยังไง จะอยู่เผชิญหน้าหรือรีบวิ่งหนีไป

“ดาร่า ซานดาร่า นั่นเจ้าใช่มั๊ย?”

จียงพยุงตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลก่อนค่อยๆก้าวเข้ามาใกล้คนที่กำลังสับสนเรื่อยๆ

“ใช่ ข้าเอง”   คนตัวเล็กตัดสินใจรวบรวมความกล้าหันไปเผชิญหน้าแล้วพูดตอบออกไป

เป็นไงเป็นกันสิ .. ก็อยากรู้เหมือนกันว่าจียงจะทำอะไร เธอจะยอมเผชิญหน้ากับการแก้แค้นของจียง

แต่ผิดคาด สายตาที่จียงมองมาไม่ได้บอกถึงความประสงค์ร้ายแต่อย่างใด

ตรงกันข้ามกลับดูอ่อนโยนและโหยหา ทำให้ดาร่าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

“ฝันใช่มั๊ย? ที่เจ้าอยู่ตรงนี้คือความฝันของข้า นี่ข้าฝันถึงเจ้าอีกแล้วหรอ?..”

จียงก้าวเข้ามาใกล้ตรงเข้ามาหาคนที่ยืนทำอะไรไม่ถูก

 

‘ ถ้านี่และเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นความฝันอย่างที่เจ้าพูดก็คงดีสินะ ’

“ใช่ นี่คือความฝันของเจ้า”      ดาร่าพูดเบาๆแต่มันก็พอที่จะทำให้จียงได้ยิน

จียงเดินเข้ามาเรื่อยๆ เสียงหัวใจของดาร่าขณะนี้ทั้งดังและเต้นถี่เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ

แล้วไลเคนหนุ่มก็ซบหน้าลงที่บ่าของร่างบางตรงหน้า มือทั้ง2กอดรัดเอวบางไว้หลวมๆแล้วนิ่งอยู่อย่างนั้น

ในตอนแรกดาร่าคิดจะขืนตัวออก แต่ไม่รู้เพราะอะไรที่ทำให้ความคิดนั้นถูกล้มเลิก

“เอ่อ ในฝันครั้งก่อนๆ เจ้ามักจะทำอย่างนี้กับข้าหรอ?”

ดาร่าถามเสียงเบาอย่างไม่เข้าใจตัวเองนัก .. ข้าจะอยากรู้ทำไมกันนะ? ก็ในเมื่อตอนนี้ท่านเกลียดข้าแล้ว

“ไม่ใช่แค่นี้หรอก เจ้าจำไม่ได้หรอ? ทุกครั้งที่เจ้าปรากฏตัวในฝันข้าตั้งแต่ครั้งแรกที่เราพบกัน เจ้าก็ ..”

พูดจบร่างหนาก็เงยหน้าที่ซบบ่าของดาร่าอยู่ขึ้น แววตาและสีหน้าทำให้ร่างบางร้อนผ่าวไปทั้งร่าง

จับจ้องเพ่งพิจรูปหน้าสวยที่พยายามหลุบตาหนี ไม่อยากจะรับรู้บางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เธอสับสน

จียงเอียงคอมองตามใบหน้าแดงระเรื่อที่กำลังก้มหลบ เสียงลมหายใจที่ดังขึ้นเรื่อยๆผสมกับกลิ่นเหล้า

ยิ่งทำให้หัวใจของดาร่าเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมา ริมฝีปากอิ่มได้รูปปะทะกับแก้มนุ่มสีขาวผ่อง

ก่อนจะเลื่อนไล้ผ่านเนื้อเนียนและสัมผัสเรียวปากที่สั่นนิดๆเพราะความประหม่า

แวมไพร์สาวปิดเปลือกตาแน่น ยอมรับเลยว่าตอนนี้เธอกลัวกับสิ่งแปลกใหม่ที่พึ่งได้ลิ้มลองเป็นครั้งแรก

เพียงไม่นานสัมผัสที่ดาร่าตกใจในตอนแรกกลับทำให้เธอรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

จนเผลอปล่อยใจไปตามสิ่งที่จียงนำพา เธอไม่เข้าใจตัวเองหรอกที่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น

เธอไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับคนคนนี้แล้วไม่ใช่หรอ? แต่นี่เธอกลับกำลังปล่อยให้ตัวเองถลำลึก

“หึ! ข้าคงทำแบบนี้กับเจ้าได้แค่ในฝันสินะ”        จียงแค่นหัวเราะออกมาเหมือนสมน้ำหน้าตัวเอง

หลังจากแข็งใจถอนริมฝีปากออกจากกลีบปากบางที่หอมหวานเย้ายวนอย่างยากลำบาก

แต่ถ้าฟังดูดีๆจะเห็นได้ชัดว่าคำพูดเหล่านั้นมันแฝงไปด้วยความเสียใจอยู่ไม่น้อย ..

 

ดาร่าก้มหน้ารู้สึกได้ว่าตัวเองทำผิดพลาดครั้งใหญ่หลวง เธอไม่น่าเผลอใจเลย

ถึงตอนนี้คนตัวเล็กรู้ใจตัวเองแน่ชัดแล้วว่าเธอก็ชอบคนๆนี้อยู่ไม่น้อย

แต่ความรู้สึกดีๆที่เกิดขึ้นได้ไม่นานมันคงต้องสิ้นสุดลงตรงนี้แล้ว ..

ดาร่าตัดสินใจหันหลังกลับจะเดินจากไปทันที แต่ก็ถูกหยุดไว้อีกครั้งด้วยเสียงท้วงจากคนข้างหลัง

“เดี๋ยว อย่าพึ่งไป เจ้าอย่ารีบไปเลย ข้าไม่รู้ว่าจะเจอเจ้าแบบนี้ได้อีกเมื่อไหร่? เจ้าอย่าไปเลยนะ”

จียงพูดขอร้องด้วยสายตาวิงวอนและน้ำสียงที่เต็มไปด้วยความเศร้า

ดาร่าสูดลมหายใจลึกๆก่อนจะหันหลังกลับมาฝืนยิ้มให้อีกคน

“ได้สิ เราต้องได้พบกันอย่างงี้อีก อย่างน้อยก็ .. ในความฝันไง”

ถึงตอนนี้ดาร่าแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ คนตัวเล็กกัดริมฝีปากแน่นหันหลังวิ่งหายเข้าไปในความมืด

 

‘ ข้าไม่อยากทำลายความรู้สึกดีๆของท่านที่มีต่อข้า แม้มันจะเป็นเพียงแค่ในฝันก็ตาม ..

ให้ท่านคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพียงความฝันก็คงจะดีแล้วสำหรับเราทั้ง 2 คน ’

 

.

.

 

“ข้ามาที่นี่เพื่ออยากได้รับคำยืนยันจากตระกูลเชวว่าได้ทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเสร็จสิ้นแล้ว”

ปาร์คดองอุคพูดอย่างตรงไปตรงมาขณะนั่งอยู่ในห้องรับรองแขกของคฤหาสน์ตระกูลแวมไพร์ชื่อดัง

ร่างสูงสง่านั่งอยู่บนเก้าอี้นวมสีดำมันขลับโดยมีหัวหน้าตระกูลเชวคู่สนทนายืนเอามือไพล่หลัง

มองออกไปยังสวนสวยภายในคฤหาสน์ที่มีเนื้อที่กว่า 1 เอเคอร์ ..

“นี่สภาไม่ไว้ใจข้าถึงขนาดต้องส่งคนมาตรวจตรากันเช่นนี้เชียวหรือ? ทางเราเคยบอกไปแล้วว่างานใหญ่ ..

สำเร็จลงด้วยดี รวมถึงพ่อของเจ้าก็ได้เป็นประธานาธิบดีแล้วนี่ ยังต้องกังวลอะไรอีก..”

ชายอาวุโสผู้มีอำนาจที่สุดในตระกูลพูดเสียงเรียบ ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า? ..

แต่ดองอุครู้สึกว่าผู้พูดมีน้ำเสียงแฝงไปด้วยความไม่ประสงค์ดีเอาไว้

 

“ทางสภาแค่ต้องการหลักฐานให้มั่นใจว่านายกรัฐมนตรีและกษัตริย์เฮนรี่ได้ถูกกำจัดแล้วจริงๆ”

ดองอุคพยายามทำนอบน้อมเพราะเห็นแก่ความอาวุโสของคู่สนทนาทั้งที่รู้สึกไม่ชอบใจคนๆนี้เลย

“ถ้าหลงเหลือหลักฐานให้สภาดู เจ้าไม่คิดหรอว่าจะหลงเหลือหลักฐานให้พวกไลเคนมาแว้งกัดเราได้”

ชายคนนั้นพูดโดยไม่หันหน้ามา เหตุผลนี้เล่นเอาดองอุคหมดหนทางจริงๆ

‘ กะแล้วว่าจะต้องเป็นแบบนี้ ไม่ชอบเล่นกับตระกูลนี้เลยจริงๆ .. ไอ้พวกตระกูลเชว ’

 

 

ณ คฤหาสน์ประจำตระกูลเชวซึ่งบัดนี้ได้มีผู้มาเยือนเช่นเคยหลังจากคราวที่ดองอุคมาได้ไม่กี่สัปดาห์

เพียงแต่คราวนี้ผู้มาเยือนกลับมาด้วยจุดประสงค์ที่ต่างกันออกไป

ภายในคฤหาสน์ตกแต่งด้วยโทนสีดำทะมึนทำให้สถานที่นี้ดูน่าเกรงขามหลายเท่าตัว

การตกแต่งภายในก็หรูหราอลังการ เสาและเพดานล้วนเป็นลายปูนปั้นที่ออกแบบโดยศิลปินชื่อดัง

นอกจากนั้นยังมีรูปปั้นแกะสลักของเทพีและปีศาจมากมายที่ถูกวางเรียงไว้ตามทางเดิน

ซึ่งถือเป็นของสะสมล้ำค่าประจำตระกูล ..

 

‘ คังแดซอง ’  เดินผ่านตามทางนั้นมาโดยไม่ได้สะดุดตากับศิลปะอันน่าทึ่งเหล่านั้นแต่อย่างใด

นั่นเป็นเพราะชายหนุ่มคุ้นเคยกับสถานที่นี้เป็นอย่างดี ตระกูลคังหนึ่งในตระกูลแวมไพร์ชั้นสูง

ที่ได้เข้าร่วมในสภานั้นถือว่าเป็นมิตรและเป็นทองแผ่นเดียวกันกับตระกูลเชวก็ว่าได้

บรรพบุรุษของทั้ง 2 ตระกูลนี้มีความเกี่ยวพันเป็นวงศาคนาญาติมาหลายชั่วอายุคน

จะว่าไปแล้วซึงฮยอนกับแดซองเองก็ถือว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกันได้เลยทีเดียว ..

ร่างสูงผลักประตูไม้สีทึบเข้าสู่ห้องประชุมช้าๆ เผยให้เห็น 2 คนที่นั่งรออยู่แล้ว

คนหนึ่งเป็นชายท่าทางภูมิฐาน นั่งอย่างสงบนิ่งดูน่าเกรงขามยิ่งนัก ส่วนอีกคนถัดมาคือ ..

ชายหนุ่มหน้าตาคมเจ้าของสายตาเจ้าเล่ห์มีเสน่ห์ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่จากบ้านเกิดไปนาน .. เชวซึงฮยอน

 

ชายผู้มีศักดิ์เป็นอาผายมือให้แดซองนั่งลงที่หัวโต๊ะประชุมยาวอีกฟากหนึ่งก่อนเริ่มสนทนา

“ว่าไง เจ้าสบายดีมั๊ย? วันงานวันนั้นเราแทบไม่ได้คุยกันเลย สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยจริงๆ”

ผู้เป็นอาพูดพร้อมรอยยิ้มใจดีที่เป็นมิตรซึ่งไม่ค่อยจะได้พบเห็นบ่อยนักหากไม่ใช่คนสนิทในครอบครัว

“ครับ คุณอาเองก็ดูแข็งแรงหนุ่มแน่นไม่เคยเปลี่ยนเลยนะครับ”    แดซองตอบกลับอย่างนอบน้อม

“ฮ่าๆๆๆ ไม่หรอก เออ เจ้าเองคงได้เจอกับซึงฮยอนแล้วใช่มั๊ย?”

ท่านหัวหน้าตระกูลผายมือไปทางลูกชายที่นั่งข้างๆ ก่อนที่ซึงฮยอนจะยิ้มมุมปากแล้วพูดขึ้น

“เราเจอกันแล้วครับที่งานเลี้ยง แล้วก็ในที่ประชุมสภาที่คฤหาสน์ปาร์ค”

แดซองยิ้มตอบกลับทันที อันที่จริงเค้า 2 คนคือเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก

แต่ด้วยเหตุที่ซึงฮยอนต้องไปอยู่ต่างประเทศเกือบ 10 ปีทั้ง 2 จึงต้องห่างกันไป

แต่เมื่อกลับมาคราวนี้ก็ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะยังเหมือนเดิมรึเปล่า? ..

“เอาล่ะ ถ้างั้นเรามาเริ่มคุยธุระกันดีกว่า งานที่เตรียมการกันไว้ ทางตระกูลคังประสานกับทุกฝ่าย ..

เรียบร้อยหรือยัง? เพราะถ้าทุกอย่างลงตัวหมด วันและเวลาดำเนินการอาจเลื่อนมาก่อนกำหนดก็เป็นได้ ..

เพราะตอนนี้พวกตระกูลปาร์คมันกำลังชะล่าใจ ..”

 

.

.

 

“ดาร่า! งานจะเริ่มแล้วทำไมยังไม่แต่งตัว? เฮ้อ ออ ถ้าไม่มีข้ามาคอยเตือนคอยสั่งซักคน ท่านพ่อ ..

ของเจ้าคงปวดหัวตาย”     ดองอุคบ่นอย่างหัวเสีย ..

ทันทีที่เข้ามาเห็นสภาพของน้องสาวที่ท่าทางอิดโรยคล้ายไม่ได้พักผ่อนมาหลายวัน

ซ้ำยังคงอยู่ในชุดนอนผ้าบางสีขาว ผิดกับทุกคนในคฤหาสน์ที่ตอนนี้อยู่ในชุดเตรียมเข้าสู่งานเฉลิมฉลอง

การขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีของท่านหัวหน้าตระกูล

 

งานวันนี้ถูกจัดขึ้น ณ คฤหาสน์ตระกูลปาร์คเฉพาะคนในครอบครัวและบรรดามิตรสหายเท่านั้น

แต่ถึงแม้จะเชื้อเชิญแค่คนสนิท แขกเหรื่อในงานก็มากมายเหลือเกิน งานนี้จึงเรียกได้ว่า ..

เป็นการรวมพลคนสำคัญๆของตระกูลแวมไพร์ผู้มีอำนาจครั้งใหญ่ซึ่งนานปีจะเกิดขึ้นครั้งหนึ่งเลยทีเดียว

ร่างบอบบางที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างหันมามองผู้เป็นพี่ด้วยสายตาเลื่อนลอย

เหมือนไม่ได้ฟังสิ่งที่ได้ยินผ่านเข้าหูเมื่อครู่ แล้วหันกลับไปมองยังสวนนอกหน้าต่างเช่นเดิม

“ดาร่า นี่เจ้าเป็นอะไรไป!? หลายวันมาแล้วนะที่เจ้าซึมแบบนี้ ไม่ยอมกินไม่ยอมนอน เลือดสดชนิดที่เจ้า ..

โปรดปรานมากที่สุดก็ไม่ยอมแตะแม้แต่น้อย ถ้าขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไปร่างกายเจ้าจะทรุดลงไปมากกว่า ..

นี้นะ ที่ข้าพูดเพราะว่าข้าเป็นห่วง เจ้าไปเจอกับอะไรมากันแน่ดาร่า บอกข้าได้มั๊ย? น้องข้าไม่เคยเป็น ..

แบบนี้ เห็นเจ้าในตอนนี้แล้วข้าทรมานใจจริงๆ”

ดองอุคเดินเข้าไปใกล้ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ใกล้ๆกับดาร่า จ้องมองน้องสาวอย่างไม่วางตา

เหมือนกำลังค้นหาบางสิ่งบางอย่างที่ถูกปกปิดภายใต้ใบหน้าเศร้าหมองนั้น

 

“ข้าไม่เป็นไร ออกไปเถอะ ข้าอยากอยู่คนเดียว”

เสียงแผ่วเบาที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากสีแดงอ่อน ฟังดูไม่สดใสเอาซะเลย

ดองอุคได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจ   “งั้นเจ้าต้องสัญญาก่อนว่าวันนี้เจ้าจะแต่งตัวให้งดงามเยี่ยงที่เคย ..

แล้วลงไปสังสรรค์ความสำเร็จของท่านพ่อ เจ้าควรลงไปพบปะผู้คนซะบ้าง จะได้ไม่ต้องมานั่งคิดมากอยู่

อย่างนี้ ได้ข่าวว่าวันนี้มีโลหิตรสเลิศรอเสริฟอยู่นะ เจ้าสนใจมั๊ย? เลือดไลเคนเชียวนะ อาหารอันโอชะ ..

ของพวกเรา เจ้าชอบมันมากไม่ใช่หรอ?”        ผู้เป็นพี่พูดออกมาตั้งใจจะทำให้ดาร่ารู้สึกดีขึ้น

แต่ผิดถนัดคำว่าไลเคนดูเหมือนจะเป็นคำต้องห้ามสำหรับสาวน้อยคนนี้ไปซะแล้ว

ดาร่าสะดุ้งทันที หันขวับมองพี่ชายตาขวาง ไม่รู้ทำไมแต่มันโกรธเหลือเกินที่ได้ยินประโยคเมื่อกี้

 

“ออกไปเดี๋ยวนี้นะ!! ข้าบอกแล้วไงว่าอยากอยู่คนเดียว!”

ดาร่าระเบิดอารมณ์เสียงดังใส่พี่ชาย สายตากร้าวมองอย่างโกรธเคือง

เล่นเอาดองอุคขมวดคิ้วด้วยความสงสัย มันเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวสุดที่รักของเค้า? ..

ถึงเมื่อก่อนเด็กคนนี้จะเอาแต่ใจและอาละวาดใส่คนอื่นอยู่บ่อยๆ

แต่ก็ไม่เคยขึ้นเสียงในแบบที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้อย่างเมื่อซักครู่ใส่เค้าเลย เจ้าโกรธอะไรอยู่กันแน่ดาร่า?

“ดาร่า ..”        น้ำเสียงที่อ่อนลงของพี่ชายทำให้ความเดือดดาลเมื่อครู่เบาบางลง

คนตัวเล็กหันหนีมองไปนอกหน้าต่าง ทั้งๆที่ในหัวนั้นไม่ได้รู้เลยว่าเธอกำลังจ้องมองอะไรอยู่

เพราะจิตใจกลับไปจดจ่อกับคนด้านหลังที่กำลังเดินตรงเข้ามาใกล้ ..

“พี่รักเจ้าที่สุดเจ้าก็รู้ เพราะฉะนั้นเจ้ามีอะไรไม่สบายใจบอกพี่มาเถอะ มีเหรอที่พี่ชายคนนี้จะดูไม่ออก ..

ว่าเกือบเดือนนึงที่ผ่านมานี้เจ้ามีอะไรในใจ”      ร่างบางได้ยินดังนั้นก็ก้มหน้างุด

รู้สึกเสียใจที่ตะคอกใส่พี่ชายเสียงแข็ง ทั้งที่คิดว่าจะโดนอีกคนดุสวนกลับมา

แต่นี่พี่ดองอุคกำลังถามเธออย่างเป็นห่วงเป็นใยในเรื่องที่เธอบอกใครไม่ได้

 

‘ พี่ดองอุค ข้าขอโทษ แต่ข้าจะไม่บอกใครเด็ดขาดว่าข้ามีความรู้สึกพิเศษกับไลเคน โดยเฉพาะกับท่าน

ข้าบอกไม่ได้ แล้วอีกอย่าง เรื่องนั้นมันก็จบไปแล้ว จบไปแล้วจริงๆ ’

 

“คือ ข้า ..”

คนตัวเล็กเม้มริมฝีปากแน่นเหมือนกำลังตัดสินใจ ความคิดมากมายคับแน่นอยู่ในอก

เรื่องราวทุกอย่างมันเอ่อล้นราวกับจะระเบิดออกมา ทั้งที่อยากจะระบายให้ใครซักคนฟัง

แต่บางสิ่งที่ยากจะเข้าใจกลับปิดตายมันไว้ พี่ดองอุค .. ทำไมข้าถึงทรมานเหลือเกิน?

“เจ้ากำลังตกหลุมรักใครซักคนใช่มั๊ย?”

ผู้เป็นพี่พูดออกมาในขณะที่น้องสาวยังมัวแต่อ้ำอึ้ง ดาร่านิ่งไปทันที ใบหน้าทั้งหน้าร้อนผ่าว

หรือนี่คือความรู้สึกที่แท้จริงของข้า ไม่เพียงแต่ข้าแคร์ แค่ชอบหรือรู้สึกพิเศษ แต่เป็นเพราะข้ารักเค้า

คนตัวเล็กตัดสินใจแล้ว ไหนๆก็มาถึงขั้นนี้ เธอจะบอกพี่ดองอุค! ดีกว่าการต้องมากลุ้มใจอยู่คนเดียว

“เอ่อ ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจ ท่านจะยอมรับได้มั๊ย? หากคนๆนั้นเค้า ..”

ดาร่าพูดไม่ออก อยากจะพูดไปให้มันรู้แล้วรู้รอดแต่มันก็ติดที่ริมฝีปาก .. จะบอกท่านพื่ นี่ข้าคิดดีแล้วหรอ?

 

“ไม่ว่าเค้าจะเป็นใคร ถ้าเป็นคนที่น้องของพี่รัก พี่ก็ยอมรับได้ทั้งนั้น”

ผู้เป็นพี่ชายพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนแล้วลุกขึ้น บรรจงจูบหัวน้องสาวอย่างแผ่วเบาด้วยความเอ็นดู

เพื่อเป็นการปลอบใจ เพราะแค่สังเกตจากสีหน้าและท่าทางตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาก็พอจะเดาได้

ว่าความรักของน้องสาวเค้าครั้งนี้คงจะไม่สวยหรูเป็นแน่ ..

“แต่ถ้าเจ้ายังไม่พร้อมจะเล่าให้พี่ฟังตอนนี้ก็ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ แต่ตอนนี้ข้าอยากขอร้องให้เจ้าแต่งตัว

สวยๆ แล้วลงไปร่วมงานพิธีของท่านพ่อในฐานะลูกที่ดี เจ้ายอมทำตามเรื่องที่พี่ขอซักเรื่องได้มั๊ย?”

คนตัวเล็กเพียงส่งยิ้มกลับไปแทนคำตอบ เท่านั้นก็เพียงพอให้ดองอุคมั่นใจและยอมเดินออกจากห้องไป

ถึงตอนนี้เรื่องราวจะเลวร้ายยังไงแค่ดาร่ามีคนที่เป็นห่วงเธอที่สุดอยู่เคียงข้าง

ให้เธอได้ระบายทุกสิ่งทุกอย่างที่อัดแน่นในใจ ทุกอย่างที่ไม่มีใครรู้ ข้าจะบอกท่านแน่นอนพี่ดองอุค ..

 

.

.

 

บนโต๊ะอาหารค่ำภายในคฤหาสน์ควอนวันนี้ที่สมาชิกอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา

แต่อาจเป็นเพราะเรื่องราวหนักๆที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่นานก็เป็นได้ที่ทำให้อาหารมื้อนี้ดูเงียบเหงา

แทนที่จะคึกคักอย่างที่เคย ทุกคนนั่งทานอาหารในส่วนของตัวเองเงียบๆ

ก่อนที่จู่ๆความสงบนั้นจะถูกรบกวนโดยคนรับใช้คนสนิท ทงฮยอนจา ผู้เป็นบิดาของยองเบ ..

“ขอประทานอภัยเป็นอย่างสูงครับทุกท่านที่เข้าเข้ามารบกวน แต่ข้ามีเรื่องเร่งด่วนจะมาขออนุญาตจาก ..

ท่านควอนครับ ..”  

ทุกคนที่เคยก้มหน้าก้มตาอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน ปกติชายผู้นี้ไม่เคยเสียมารยาท

หรือรบกวนกิจกรรมใดๆของเจ้านายแม้แต่น้อย แต่นี่มันเรื่องอะไรกัน?

ถึงทำให้ผู้ที่จงรักภักดีและรู้งานที่สุดในคฤหาสน์ต้องทำแบบนี้ ..

 

“เจ้ามีเรื่องอะไรก็ว่ามา”

ท่านผู้นำครอบครัวกล่าวขึ้นด้วยความสนใจ ไม่ได้มีท่าทีโกรธเคืองที่ถูกรบกวนซักนิด

จะว่าไปแล้วทุกๆคนในตระกูลควอนล้วนแต่ให้ความสำคัญกับลูกน้องทุกคนที่ทำงานให้

ไม่เคยวางตัวข่มหรือแบ่งแยกชนชั้นแต่อย่างใด ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้านาย

จึงได้รับความจงรักภักดีจากบ่าวทุกคนอย่างจริงใจ

“ข้าน้อยจะกลับไปบ้านที่เวลส์ซักพักได้มั๊ยครับ? คือภรรยาของข้า แม่ของยองเบ คือ ธะ เธอ เธอสิ้นใจ

แล้วครับ ผมขอกลับไปจัดการพิธีศพของภรรยาได้มั๊ยครับ? เธอเสียใจเรื่องลูกชายจนล้มป่วย ละ แล้ว ..”  

น้ำเสียงเรียบธรรมดาในตอนแรกค่อยๆสั่นเครือขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าชายแก่คนนี้

กำลังพยายามสกัดกั้นความโศกเศร้าเสียใจของตนไม่ให้เผยออกมาต่อหน้าเจ้านาย

ข่าวใหม่ที่ได้รับสร้างความหดหู่และสงสารต่อทุกคนที่นั่งรวมกันอยู่ที่โต๊ะเป็นอย่างมาก

ทุกคนในโต๊ะเงียบนิ่ง ชายผู้ที่แทบจะเรียกได้ว่าคร่ำครวญตรงหน้าช่างดูน่าเวทนาเสียจริง

โดยเฉพาะควอนจียง ไลเคนหนุ่มขบกรามแน่นพอๆกับมือที่กำอยู่ เส้นเลือดปรากฏเด่นชัดบริเวณขมับทั้งสอง

เค้ากำลังโกรธ เสียใจ คับแค้น และทุกๆอย่างปนเปกัน ความรู้สึกพุ่งถึงขีดสุดอย่างห้ามไม่ได้ ..

 

“เดี๋ยวแชริน นั่นลูกจะไปไหน?”

ผู้เป็นแม่ถามไล่หลังเมื่อลูกสาวคนกลางลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารกะทันหันท่ามกลางบรรยากาศที่ยังอึมครึม

ทุกคนเงียบกริบมองไปยังทางออกห้องอาหารเป็นตาเดียวกัน คนตัวเล็กหันมาด้วยใบหน้าอาบน้ำตา

ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด .. “ข้าจะไปเวลส์กับท่านลุง ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ไม่เอาอีกแล้ว ..

ใครก็ตามที่ฆ่าพี่ยองเบ ข้าเกลียดมัน!!!!”

แชรินวิ่งออกไปทันทีหลังจากโพล่งความในใจออกมาทั้งน้ำตาโดยไม่รอฟังคำทักท้วงจากใครทั้งสิ้น

อยู่ที่นี่ก็มีแต่ความทรงจำของเค้าเต็มไปหมด ไม่อยากอยู่ในสภาพแบบนี้ ข้าอยากจะหนีไปให้พ้นๆ ..

 

 

สิ่งที่เกิดขึ้นบนโต๊ะอาหารเมื่อหัวค่ำทำเอาจียงกลับเข้าสู่อาการย่ำแย่อีกครั้ง

ร่างสูงนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมสีแดงเลือดนกท่ามกลางความมืด มีเพียงแสงจันทร์นวลสว่างที่ส่องผ่าน

หน้าต่างห้องนั่งเล่นต้องลงบนเสี้ยวหน้าที่ดูหม่นหมองที่สุดในยามนี้

ในมือถือแก้วเหล้าราคาแพง สายตาจับจ้องที่น้ำใสๆสีน้ำตาลอ่อนที่กระเพื่อมน้อยๆอยู่ในนั้น

 

‘ พี่ไม่ต้องมาห้ามข้า ข้าตัดสินใจแล้ว ยังไงข้าก็จะไป!! พี่ไม่รักพี่ยองเบเลยหรอ? ถึงไม่รู้สึกอะไรกับ ..

เรื่องราวที่เกิดขึ้น ถึงได้ไม่เข้าใจว่าข้ารู้สึกยังไง? ข้าไม่ได้หนีปัญหาเพียงแต่อยากไปสงบจิตใจไกลๆ ..

ไม่ได้สิ้นคิดแล้วก็ไม่ได้เป็นเด็กอย่างที่ทุกคนเข้าใจ ข้าโตแล้วข้าตัดสินใจเองได้ ถ้าทุกคนไม่ยอม ..

ให้ข้าไปดีๆ ข้าก็จะหนีไปเอง!!! ’

จียงนึกถึงคำพูดของน้องสาวที่เค้ารักและหวงที่สุดที่ฝากไว้ก่อนจากเค้าไปโดยไม่ฟังคำทัดทานใดๆ

แค่เสียเพื่อนรักไปคนเดียวเค้าก็เจ็บพอแล้ว ในตอนนี้แชรินก็ออกจากบ้านไปอีก

ความรู้สึกเหงาเปล่าเปลี่ยว มันเริ่มคืบคลานเข้ามากัดกินใจชายหนุ่มทีละน้อย ..

“เออ!!!! ไปกันให้หมดเลย ออกไปจากชีวิตข้าให้หมด ดูข้าสิ เหลือใครบ้าง? ดูข้าเซ่ โธ่โว้ย ยยยยย!!!!!!”

ไลเคนหนุ่มตะโกนกึกก้องอย่างเกรี้ยวกราด ไม่ใช่เพียงฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่อยู่ในมือ

หากแต่ความรู้สึกของเค้าตอนนี้ก็ทำให้บ้าคลั่งได้ไม่แพ้กัน

ความโกรธแค้นที่คับแน่นในอกในที่สุดมันก็ระเบิดออกมา

 

‘ เพล้งงงง งง!! ’

แก้วเจียระไนงดงามในมือแตกกระจายไม่มีชิ้นดี เลือดในมือไหลอาบจากรอยแผลบาดลึก

จียงลุกจากเก้าอี้ทันที สติของเค้าดูเหมือนจะกระเจิดกระเจิงไปซะแล้ว

เพราะตอนนี้สิ่งที่ร่างกายและจิตใจตอบสนองได้อย่างเดียวก็คือคำสั่งที่ว่า..มุ่งหน้าสู่คฤหาสน์ตระกูลปาร์ค!

Like this story? Give it an Upvote!
Thank you!

Comments

You must be logged in to comment
ryouchi_chan
#1
WHAT???????
ryouchi_chan
#2
WHAT???????
JunielPanda
#3
plz engver T_T i can't understand
ammie16 #4
สนุกมากเลยค่ะ อย่าลืมมาอัพต่อนะคะ