Chapter 3

Bloody Romance

 

“เฮ้อ อออ เกือบไปแล้ว~”

ดาร่าถอนหายใจด้วยความโล่งอก หลังจากหลบพี่ชายได้อย่างฉิวเฉียด

คนตัวเล็กยืนพิงเสาหินอ่อนสีครีมทรงกลมต้นใหญ่ที่เธอคิดใช้พลางตนเอง

แต่ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรด้วยซ้ำ เสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นท่ามกลางเสียงอื้ออึงรอบข้าง

ทำให้ดาร่าต้องเงยหน้าขึ้นมอง ..

 

 

“ไม่ได้เจอกันนานนะ ซานดาร่าปาร์ค”

ดาร่านิ่งไปซักพักเพื่อคิดทบทวนถึงเจ้าของใบหน้าคมตรงหน้า

ที่กำลังส่งยิ้มให้เธอ แล้วในที่สุดก็จำได้! ..

“เชวซึงฮยอน”

ร่างบางพึมพำออกไปเสียงเรียบ ด้วยใบหน้าสงบนิ่งผิดกับที่อีกคนคาดหวังไว้

แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ซึงฮยอนเลิกล้มที่จะหาทางพูดคุยกับคนที่เค้าหมายปอง

มือหนาไร้สีเลือดยื่นออกมาตรงหน้า เพื่อทำการทักทายตามมารยาท

หากแต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมยื่นออกมาตอบรับ ..

“มีธุระอะไรกับข้างั้นหรอ?”

ดาร่าพูดอย่างไม่แยแสในความเป็นมิตรที่ซึงฮยอนพยายามหยิบยื่นให้

ทำให้คนที่รู้สึกเก้อๆรีบชักมือกลับไป

 

“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่อยากทักทายตามประสาคนรู้จักกันเท่านั้น ข้าดีใจที่ท่านยังจำข้าได้ ..

หลังจากไปอยู่โรมาเนียเสียหลายปี นี่ข้าก็เพิ่งกลับมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ..

คราวนี้ข้าจะกลับมาอยู่ที่อังกฤษเลย หวังว่าเราคงจะได้เจอกันอีกบ่อยๆเหมือนเมื่อก่อน”

ซึงฮยอนทิ้งท้ายประโยคด้วยการพูดถึงความทรงจำที่เค้ายังคงรู้สึกดีกับมันเรื่อยมา

แต่ดูเหมือนว่าจะผิดกับอีกคน..

“พึ่งรู้นะว่าท่านไม่ได้อยู่อังกฤษมาหลายปี ดีใจด้วยที่ท่านได้กลับมายังบ้านเกิด ..

ถ้าไม่มีอะไรแล้วข้าคงต้องขอตัว”

ดาร่าตัดบทอย่างไม่ใยดีก่อนจะเดินเลี่ยงออกไป อันที่จริงเธอก็ไม่ได้รังเกียจอะไรคนคนนี้หรอก

เพียงแต่ไม่สนใจที่จะเสวนาด้วยก็เท่านั้น ดาร่าคิดเสมอว่าตระกูลของเธอยิ่งใหญ่ที่สุดในอังกฤษ

และตระกูลของเชวซึงฮยอนก็ดูเหมือนจะเป็นคู่แข่งชิงความเป็นหนึ่งกับตระกูลของเธอมาช้านาน

คู่แข่งที่ดาร่าคิดว่าช่างไม่สมน้ำสมเนื้อเอาซะเลย

 

 

เมื่อหญิงสาวเดินออกไปจากบริเวณนั้น สีหน้าของคนที่ถูกเมินใส่เมื่อครู่ก็เปลี่ยนไป

แวมไพร์หนุ่มขบกรามแน่น แววตาบ่งบอกถึงความโกรธแค้นที่ดาร่าทำเหมือนค้าไม่ได้อยู่ในสายตา

ก็ปรากฏให้เห็นในขณะที่มองตามหลังร่างบอบบางนั้นไป

‘ คอยดูนะซานดาร่า ซักวันหนึ่งเจ้าจะเป็นของข้า! ตระกูลของเจ้าจะผงาดอยู่ได้นานอีกเท่าไหร่กันเชียว .. ท่าทางเย่อหยิ่งอวดดีอย่างนั้น ระวังไว้เถอะ!! ’

 

‘ พลั่ก กกกก!!!! ’

 

ขณะที่กำลังคิดอะไรบางอย่างกับตัวเอง

จู่ๆแวมไพร์หนุ่มก็รู้สึกถึงบางอย่างกระแทกเข้ามาที่ด้านหลังอย่างจัง

ด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัวอยู่เป็นทุนทำให้ซึงฮยอนหัวเสียเป็นอย่างมาก

หันหลังกลับไปทำตาขวางใส่คนข้างหลัง

“อ๊ะ ข้า .. ข้าขอโทษ”       ตัวต้นเหตุรีบพูดพร้อมโค้งให้เมื่อรู้สึกตัว

“หัดเดินดูตาม้าตาเรือซะบ้างสิ!!”

ซึงฮยอนตะคอกใส่คนตรงหน้าทันควัน ทำให้คนตัวเล็กกว่าสะดุ้ง รีบเงยหน้ามามองอย่างขัดใจ

“ใจเย็นๆหน่อยสิ นี่ข้าขอโทษท่านดีๆแล้วนะ”

 

‘ ควอนโบมี ’  เจ้าของดวงตาเรียวน่ารัก มองตอบกลับมาเป็นเชิงตำหนินิดๆ

ซึ่งอาการนิ่งๆนั้นทำให้ซึงฮยอนคิดได้ว่าตัวเองใช้อารมณ์มากเกินไป

“ข้าขอโทษที่ใจร้อนมากไปหน่อย”

ซึงฮยอนพยายามสงบสติอารมณ์พูดอย่างใจเย็นที่สุด

แล้วสิ่งที่ได้กลับคืนมาก็คือรอยยิ้มสดใสที่สุดที่แวมไพร์คนนี้เคยได้พบ ..

แววตาใสซื่อ ใบหน้าขาวเนียน ริมฝีปากอิ่มที่คลี่ยิ้มอย่างจริงใจ

สะกดสายตาของซึงฮยอนไว้ให้ไม่อาจละไปไหนได้

“ไม่เป็นไร ข้าไม่โกรธหรอก ข้าเองก็ซุ่มซ่าม ท่านคงกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่แน่ๆ ใช่มั๊ย?”

สาวน้อยพูดน้ำเสียงใส เอียงคอถามคนตรงหน้าอย่างเข้าใจ ท่าทาง สีหน้า แววตา และคำพูดแบบนั้น

ทำเอาคนเจ้าอารมณ์อย่างซึงฮยอนรู้สึกผ่อนคลายอย่างประหลาด ทั้งๆที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก ..

ซึงฮยอนเงียบไปเพราะไม่รู้จะตอบว่าอะไร ทำให้โบมีหัวเราะออกมาน้อยๆ ก่อนจะพูดต่อ

“อ้า! ท่าทาง ข้าคงยุ่งกับเรื่องของท่านมากไปแล้ว ไม่เป็นไรไม่ต้องตอบก็ได้ ..

ถ้าเช่นนั้น ข้าขอตัวก่อนละกันนะ .. อ๊ะ จริงสิ!! ข้ายังไม่รู้จักท่านเลย ท่านชื่ออะไรหรอ?”

คนตัวเล็กพูดแจ้วๆเป็นชุดก่อนถามขึ้นเมื่อนึกได้ ซึงฮยอนลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนตอบเสียงเบา

“ซึงฮยอน เชวซึงฮยอน”

เค้าไม่มั่นใจเลยว่าจะบอกให้คนๆนี้รู้ชื่อดีมั๊ย?  

เพราะมนุษย์บางพวกยังคงรังเกียจและเกรงกลัว ไม่ต้องการคบหาสมาคมกับแวมไพร์ซักเท่าไหร่

สำหรับคนๆนี้แล้ว ความประทับใจในครั้งแรกที่เจอ ซึงฮยอนไม่อยากจะให้ความรู้สึกดีๆ

และมิตรภาพนี้ต้องหายไปทั้งที่มันเพิ่งจะเริ่มต้น

 

 

“จริงหรอ!!? งั้นท่านก็เป็นแวมไพร์น่ะสิ ดีจัง”

ไม่เป็นอย่างที่คิด โบมีกลับทำหน้าตื่นเต้นดีใจขึ้นมา ก้มหน้าก้มตาเอื้อมมือมาเขย่ามือเค้าเป็นการใหญ่

ท่าทางดีใจจนออกนอกหน้าขนาดนั้นทำให้ซึงฮยอนแอบอมยิ้มกับตัวเอง

แล้วก็ต้องรีบหุบเมื่ออีกฝ่ายเงยขึ้นมามอง

“ข้าน่ะ อยากรู้จักกับแวมไพร์มานานแล้ว อ้า ดีใจจัง! แต่ว่านะ ครอบครัวข้า..”

ยังไม่ทันพูดจบ บทสนทนาที่ดุเหมือนจะไปได้สวยของทั้งคู่ก็ต้องหยุดลง

เมื่อมีชายร่างสูง 2 คนเดินมาทางด้านหลังของโบมี

“คุณหนูครับ รีบไปทางนั้นเถอะครับ ท่านควอนต้องการพบ”

‘ ควอน? .. งั้นเจ้าก็เป็น ?? ’

 

“งั้นหรอ? ถ้างั้นข้าคงต้องขอตัวแล้วจริงๆ ท่านซึงฮยอน วันหลังเราคงได้พบกันอีก”

ยังไม่ทันที่ซึงฮยอนจะหายจากความนิ่งอึ้งกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ คนตัวเล็กก็ส่งยิ้มหวานมาให้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนเดินนำชายทั้ง 2 คนออกไป ทิ้งไว้เพียงความสับสนและขัดแย้งในเรื่องราวที่พึ่งเกิดขึ้น

ในหัวแวมไพร์หนุ่มที่ชะเง้อตามร่างนั้นไปจนลับสายตา

เป็นครั้งแรกจริงๆที่แวมไพร์อย่างเค้ากลับไม่รู้สึกรังเกียจไลเคนเลยแม้แต่น้อย

และก็เป็นครั้งแรกเช่นกัน ที่เค้าได้รับมิตรภาพจากเผ่าพันธุ์ที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะอยู่ร่วมโลกกันได้

 

.

.

 

บรรยากาศในห้องโถงดูจะคึกคักขึ้นเรื่อยๆ

ท่วงทำนองดนตรีที่ดังคลอกำลังเพิ่มจังหวะเป็นบทเพลงสนุกสนานแต่ยังคงความคลาสสิคไว้ได้อย่างดี

คนมากมายจากแวดวงสังคมชั้นสูงกำลังจับกลุ่มสนทนาด้วยท่าทีที่ผู้ดีทั่วไปนิยมปฏิบัติ

ด้วยรอยยิ้มและคำพูดอ่อนหวานที่ไม่อาจรู้ได้ว่ามาจากใจจริงหรือเป็นเพียงการสวมหน้ากากเข้าหากัน

 

 

หลังจากต้องเดินทักทายคนรู้จักไปทั่วงาน อีกทั้งยังต้องคอยหลบสายตาของคนในตระกูลปาร์ค

เล่นเอาดาร่าเริ่มรู้สึกเมื่อยล้าและเบื่อหน่ายกับงานที่ไม่สนุกอย่างที่คิด

การหลบๆซ่อนๆอย่างนี้ไม่ใช่วิสัยของเธอเลยจริงๆ ..

 

แวมไพร์สาววางแก้วคอกเทลน้ำสีแดงใสที่พร่องไปไม่ถึงครึ่งลงบนถาดของบริกรที่เดินผ่านอย่างเซ็งๆ

ก่อนจะมุ่งหน้าเดินไปแง้มประตูบานใหญ่ของห้องโถงพระราชวังที่สูงเสียดเพดาน

เพื่อปลีกตัวไปสูดอากาศบริสุทธิ์ยามค่ำคืน คนตัวเล็กเดินไปข้างๆหน้าต่างกว้างบานหนึ่ง

ท่ามกลางบานหน้าต่างที่เรียงรายกันสุดลูกหูลูกตาจนสุดทางเดิน

ทันทีที่เปิดมันออก ดาร่าหลับตายื่นหน้าสูดกลิ่นหอมสดชื่นของอากาศยามราตรี

ที่พัดโชยมาแตะจมูก ก่อนค่อยๆปิดเปลือกตาลงเมื่อรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว

ดวงตาคู่งามทอดมองขึ้นยังท้องฟ้ากกว้าง จุดเล็กๆมากมายทอประกายเป็นแสงสีขาวจากที่ไกลแสนไกล

เหมือนช่วยประดับประดาแผ่นฟ้าที่มืดสนิทไร้สิ่งสะดุดดา ให้น่าหลงใหลมองได้ไม่รู้เบื่อ

ความสงบและความงดงามนี้ทำให้ดาร่าเผลอยิ้มโดยไม่รู้ตัว

ก่อนตัดสินใจดีดตัวจากหน้าต่างทะยานขึ้นสู่หลังคารูปโดมสูงสุดของพระราชวังด้วยความรวดเร็ว

 

แต่นั่นก็ทำให้คนที่แอบตามร่างบางออกมาเงียบๆได้ซักพัก นิ่งอึ้งกับภาพเพิ่งพบเห็น

‘ เจ้าไม่ใช่มนุษย์ หรือว่าจะเป็นอย่างที่ข้าคิด? .. ดาร่า คือ ซานดาร่าปาร์ค งั้นหรอ? ’

 

 

แวมไพร์สาวนั่งรับลมเย็นอยู่บนขอบของส่วนที่ยื่นจากหลังคาโดมนั้น

สายตาทอดมองไปทั่วๆ มุมมองจากที่สูงทำให้แสงไฟจากตึกรามม้านช่องในมหานครแห่งนี้สวยงามยิ่งนัก

ขณะกำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศอันงดงาม โดยไม่รู้ตัวความคิดของดาร่าก็กลับนึกถึงคนคนนั้นอีกแล้ว

ชายหนุ่มกวนประสาทที่เคยเจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง แต่กลับทำให้คนแข็งๆอย่างเธอเผลอนึกถึงได้อยู่บ่อยๆ

ใบหน้าทะเล้น เจ้าของรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ จมูกได้รูปที่ครั้งหนึ่งเคยสูดกลิ่นหอมจากแก้มนุ่มของเธอมาแล้ว

สายตาคมๆที่สื่อความหมายบางอย่างออกมาชัดเจน ลมหายใจอุ่นๆที่ทำให้ร้อนไปหมดทั้งร่าง

เสียงทุ้มที่ต่อปากต่อคำกับเธออย่างไม่หยุดหย่อน .. ควอนจียง

 

‘ ไหนว่าจะมายังไงล่ะ เจ้ามันก็เป็นพวกไลเคนดีแต่พูด!! ’

เพียงแค่คิดเท่านี้คิ้วเรียวก็ขมวดมุ่น มือเล็กจับปอยผมของตัวเองที่ปลิวตามแรงลมมาทัดหูอย่างรำคาญใจ

หรือนี่จะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เธอรู้สึกว่างานนี้ช่างน่าเบื่อเหลือเกิน ..

‘ บ้าจริง! นี่ข้าคิดอะไรของข้าเนี่ย คนพรรค์นั้นทำไมต้องอยากเจอด้วย ..

ไลเคน ไม่เจอกันก็ดีแล้วไม่ใช่หรอ? ’     ดาร่าสลัดหัวแรงๆเมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังคิดอะไรอยู่

แต่ทันใดนั้น .. บางสิ่งบางอย่างก็ทำให้บรรยากาศแสนสงบนั้นเปลี่ยนไปทันที

 

 

“วิวจากบนนี้สวยสดงดงามดังภาพวาดแห่งสรวงสวรรค์ เจ้าใจร้ายมากที่แอบมาชื่นชมอยู่เพียงผู้เดียว”

เสียงแผ่วเบาที่จู่ๆดังแทรกผ่านมาตามสายลมทำให้คนตัวเล็กขนลุกซู่ขึ้นมาทันที

ลำตัวยืดขึ้นตรง ใจเต้นไม่เป็นส่ำ เมื่อแอบคาดเดาถึงเจ้าของเสียงทุ้มที่ชวนลุ่มหลงนั้น

เสียงที่ฟังดูคุ้นเคยราวกับเคยได้ยินมาก่อน เสียงที่เธอแอบรอคอยจะได้ยินโดยไม่รู้ตัว

เสียงที่แม้เคยได้ยินเพียง 2 ครั้ง เธอก็ยังจำได้ดี ..

ใบหน้าหวานค่อยๆหันหลังไปตามต้นเสียงด้วยความประหม่า

แล้วภาพที่ปรากฏก็เป็นอย่างที่ดาร่าคิดไว้ไม่มีผิด .. ไลเคน ควอนจียง

 

ท่ามกลางสายลมพัดอ่อนๆต้องใบหน้าและอาภรณ์ของคนทั้งคู่ ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปาก

สายตาที่หันมาต้องกันสะกดกั้นทั้ง 2 ร่างไว้ราวกับเวลากำลังหยุดหมุน

ร่างสูงสง่าในชุดสีดำทำให้ดาร่าเผลอจับจ้องด้วยความชื่นชมอย่างลืมตัว

ไม่ต่างกับอีกคนที่ส่งสายตามองกลับมาอย่างหลงใหลในความงดงามของร่างตรงหน้า

ไม่อยากจะละไปจากความงามนี้เลยจริงๆ ความงามที่ยิ่งกว่าดอกไม้ทั้งมวลในโลก

แต่หากเจ้าเป็นดอกไม้จริง ข้าขอเป็นผึ้งภุมราเชยชมความหอมหวานจากเจ้าเพียงผู้เดียวเรื่อยไป

 

 

ทั้ง 2 จับจ้องกันอยู่ซักพัก เหมือนไม่มีใครคิดจะเป็นฝ่ายขยับเขยื้อนก่อน

แต่ในที่สุด .. จียงก็ทำท่าเข้ามาใกล้ทำให้คนตัวเล็กกว่าผงะถอยหลังด้วยความตกใจ

“ขึ้นมาทำอะไรที่นี่ หือ?”

ไลเคนหนุ่มพูดน้ำเสียงอ่อนโยน ทำให้ดาร่ารู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย

แต่ก็ต้องยอมรับว่าหัวใจยังคงเต้นแรงไม่หยุด ร่างบางกัดริมฝีปากเพื่อเรียกสติกลับคืนมาให้เร็วที่สุด

“มะ .. มันไม่ใช่ธุระอะไรของเจ้า ลงไปนะ! ข้ามาที่นี่ก่อน”

ดาร่าพยายามพูดเสียงแข็งที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่อยากให้จียงจับผิดได้ว่าเธอกำลังรู้สึกยังไง

แต่มันก็ยากเหลือเกิน ดาร่ารีบหันหลังกลับ กอดอกแน่นเพื่อจะได้ไม่ต้องสู้กับสายตาที่มองมา

ซึ่งมันทำให้เธออึดอัด .. ‘ เพราะอะไรกัน? ข้าไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน นี่ข้ากลัวไลเคนหรอ?’

“ซานดาร่าปาร์ค ..”

สิ่งที่ได้ยินทำให้ดาร่าสะดุ้งเฮือก .. ‘ เค้ารู้!! ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ’

ดาร่าซึ่งหันหลังให้จียงมีสีหน้าตกใจ เลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูก

แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจหันกลับมาเผชิญหน้ากับคนตัวใหญ่ที่กำลังยิ้มมุมปากบนใบหน้าเจ้าเล่ห์

 

“เจ้าว่าอะไรนะ!!?”

แวมไพร์สาวพูดเสียงห้วน ทำใจดีสู้เสือ

“ซานดาร่า ถ้าข้าเดาไม่ผิดเจ้าน่าจะเป็นลูกสาวคนสุดท้องที่เอาแต่ใจของตระกูลแวมไพร์ชื่อดัง .. ใช่มั๊ย?”

ด้วยดวงตาที่เบิกกว้างและสีหน้าประหลาดใจระคนตกใจของอีกฝ่าย ทำให้จียงได้ใจด้วยความรู้สึกเป็นต่อ

ที่เค้าสามารถเอาชนะเด็กดื้อคนนี้ไปได้เปราะหนึ่งแล้ว

ดาร่ายังคงสับสนกับเรื่องที่เธอไม่ได้เตรียมใจมาก่อน ..

‘ รู้ได้ยังไง? ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? หรือว่าครั้งนั้นที่เจ้าเรียกชื่อข้าในร้านวิเวียนเวสต์วูด ’

“เจ้ากล้าดียังไงมาว่าข้าเอาแต่ใจ คนอย่างเจ้าไม่มีสิทธิ์มาวิจารณ์ข้า!! ข้ารังเกียจไลเคนอย่างเจ้าที่สุด!!!”

ดาร่ารีบเปลี่ยนเรื่อง ทั้งที่ลึกๆแล้วไม่ได้คิดอย่างที่พูด

แต่ด้วยทิฐิบางอย่างที่ถูกปลูกฝังอยู่ภายในทำให้คนเราอาจพูดในสิ่งที่ตรงข้ามกับความเป็นจริงได้เสมอ

จียงไม่ได้ใส่ใจกับคำเสียดสีนั้นแม้แต่น้อย เค้ารู้ดีว่า ..

ระหว่างตระกูลและเผ่าพันธุ์ของเค้าทั้ง 2 คงยากที่จะญาติดีกันได้ง่ายๆ

“ข้ารู้น่าว่าเจ้ากำลังปากไม่ตรงกับใจ อันที่จริงเจ้าไม่ได้เกลียดข้าหรอก แล้วที่นั่งอยู่เมื่อกี้ ..

คงกำลังคิดถึงข้าอยู่สินะ..”     จียงพูดพลางเดินใกล้เข้าไปอีก

แต่คราวนี้ดาร่าไม่ได้ถอยหนีแต่อย่างใด เพราะความโกรธที่เหมือนโดนไลเคนรู้ทันไปซะทุกเรื่อง

ทำให้เธอกำลังจะกลายเป็นเป้านิ่งให้จียงได้แกล้งตามใจ

“หยุดพูดแบบนั้นเดี๋ยวนี้นะ!! นี่มันเกินไปแล้ว เจ้าจะมารู้ได้ไงว่าข้าไม่ได้รังเกียจเจ้า!!!”

ดาร่าตวาดเสียงแหวว 2 ตาจ้องมองจียงอย่างเอาเรื่อง

แต่คนตัวใหญ่กว่าก็ยังคงอารมณ์ดี ไม่สะทกสะท้านกับท่าทางนั้นแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ..

เค้ากลับแอบรู้สึกขำและเอ็นดูท่าทางไม่ยอมใครของแวมไพร์คนนี้จริงๆ

อย่างงี้มันยิ่งทำให้เค้าอยากเอาชนะมากขึ้นไปอีก ..

“ก็ถ้าเจ้ารังเกียจข้าอย่างที่พูด ริมฝีปากนุ่มๆของเจ้าคงกำลังสัมผัสอยู่ที่ต้นคอข้า ..

ดูดกลืนโลหิตด้วยคมเขี้ยวของเจ้า โลหิตไลเคน รสชาติหอมหวานกว่าโลหิตใดๆสำหรับแวมไพร์ ..

ไม่ใช่หรือ? ถ้าไม่อย่างนั้นเจ้าก็อาจจะฝากรอยแผลเป็นจากคมเล็บให้ข้าไว้เป็นที่ระลึก ..

แต่นี่เจ้ากลับปิดบัง เหมือนกลัวว่าข้าจะรู้ว่าเจ้าเป็นใครกันแน่ .. ใช่มั๊ย??”

 

 

หลังจากยืนกัดฟันทนฟังจียงพูดมานาน ทันทีที่จบประโยค .. ความเปลี่ยนแปลงบางอย่างก็ค่อยๆเกิดขึ้น

ในร่างกายของแวมไพร์ที่เต็มไปด้วยความโมโห เล็บที่ถูกตัดแต่งอย่างดีบนมืออันบอบบาง

กลับงอกยาวขึ้นรวดเร็ว แหลมคม และแข็งแรงบนมือที่เส้นเลือดปูดโปนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

เขี้ยวทั้ง 2 งอกยาวออกมาภายในริมฝีปากแดงสด ดวงตาวาวทั้งคู่เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด

จ้องเขม็งมายังคู่กรณี และไม่รอช้า ดาร่าจู่โจมตรงเข้าประชิดจียง

หวังจะฝากรอยเล็บคมไว้บนลำตัวไลเคนปากดีเพื่อปฏิเสธสิ่งที่โดนกล่าวหา

แต่ไลเคนหนุ่มก็ไวพอจะเบี่ยงตัวหลบอย่างฉิวเฉียด กระนั้นก็ยังพลาด

โดนคมเล็บข่วนแบบถากๆบริเวณข้อมือซ้ายเกิดรอยแผลเล็กๆที่มีเลือดซึมออกมา

 

“ร้ายไม่เบานะ ดาร่า พูดแค่นี้ถึงกับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลยหรอ? น่ารักจัง”

เป็นไปตามคาด คำพูดของจียงเล่นเอาดาร่าฉุนกึก .. นี่ตั้งใจจะยั่วโมโหกันใช่มั๊ย? .. ได้เลย !!!!

เมื่อสิ้นสุดความคิด ดาร่าก็เปิดฉากไล่โจมตีจียงที่คอยเบี่ยงตัวหลบท่าเดียวอย่างไม่ลดละ

ฝ่ายจียงก็ไม่ได้คิดจะโต้ตอบเลยซักนิด หากเพียงแต่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว

ล่อหลอกราวกับจะแกล้งให้ดาร่าไล่ตาม

ถึงจะพยายามเพิ่มความเร็วเท่าไหร่ ความโมโหจะมากขึ้นเพียงไหน ..

ครั้งแล้วครั้งเล่าที่พยายามจะฝังเล็บคมลงบนร่างอันแข็งแกร่งตรงหน้า

แต่ยังไงดาร่าก็ไม่สามารถเล่นงานจียงได้จังๆซักที

 

 

ท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงบ ภายในปราสาทที่กำลังมีงานเลี้ยงรื่นเริง

หารู้ไม่ว่าบนหลังคารูปโดมไม่ไกลจากภายในงานนัก ยังมี 2 คนกระโจนไล่ล่ากันอย่างดุเดือด

สายลมที่พัดแรงขึ้นเพิ่มความพริ้วของเสื้อผ้าทั้งคู่ยามเคลื่อนไหวให้ดูงดงามขึ้นหลายเท่าตัว

ยิ่งนานเข้า คนตัวเล็กก็เริ่มหมดแรง .. เธอสู้ไลเคนคนนี้ไม่ได้เลย

ทั้งๆที่เรื่องการต่อสู้มันถูกปลูกฝังอยู่ในสายเลือดและยังได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กๆ

แต่ฝีมือของไลเคนคนนี้ร้ายกาจจริงๆ ท่าทางหลบกรงเล็บที่ตวัดผ่านอากาศอย่างช่ำชอง

ดูสงบ เยือกเย็นและเหมือนง่ายดายขนาดนั้น บ่งบอกได้ถึงความเหนือชั้นในฝีมือของคนคนนี้

ไลเคนเก่งกาจขนาดนี้เชียวหรือ? .. ดาร่าเริ่มไม่มั่นใจสิ่งที่ตนเองเชื่อมั่นมาตลอดซะแล้ว

ว่าแวมไพร์คือนักสู้ผู้แข็งแกร่งที่สุด ฝีมือแบบนี้ พี่ดองอุคเองยังสู้ไม่ได้ด้วยซ้ำ ..

 

ระหว่างที่ดาร่าเผลอคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เธอก็พลาดท่าถลาล้มลงกับพื้นเมื่อเหวี่ยงแขนตะปบพลาดเป้า

แต่ครั้งนี้ จียงรับตัวแวมไพร์สาวหัวดื้อไว้ได้ทันพอดี

ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวสงบลงทันใด ความเคลื่อนไหวทุกอย่างหยุดลงอย่างง่ายดาย

เหลือเพียงดาร่าที่ยังหายใจหอบด้วยความเหนื่อย ยืนไร้เรี่ยวแรงในอ้อมแขนของจียง

เม็ดเหงื่อเกาะพราวเต็มใบหน้าโดยเฉพาะบริเวณจมูกรั้น ไหล่บางเคลื่อนขึ้นลงตลอดเวลาตามแรงหายใจ

ทำให้คนที่ฟุบหมดแรงในอ้อมกอดดูน่าปกป้องทะนุถนอมเข้าไปอีก

ตอนนี้คนตัวเล็กเหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยเกินกว่าจะปฏิเสธความสบาย ผ่อนคลายในอ้อมกอดศัตรูเช่นนี้

 

“หายพยศแล้วหรอ? เหนื่อยมั๊ย?”

จียงก้มถามพลางเกลี่ยปอยผมของคนที่ตอนนี้กลับคืนสู่ร่างปกติแล้ว

ดาร่าได้สติก็เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของอ้อมกอดก่อนที่ใบหน้าขาวซีดจะมีสีเลือดจางๆ

เมื่อพบว่าหน้าของอีกคนอยู่ห่างออกไปไม่ถึงคืบ ร่างกายกำลังถูกแตะต้องโดยมือร้อนๆอันแข็งแกร่ง

ร่างบางพยายามผละออกจากจียงทันที ไม่อยากจะยอมรับเลย

แต่ตอนนี้ เหมือนเธอกำลังเป็นฝ่ายแพ้แล้วถูกลูบหลังโดยผู้ชนะ ..

 

“ไม่ต้องมาถาม ไปให้พ้น!!”

ดาร่าผลักจียงให้ปล่อยตัวเอง ทั้งที่อีกใจก็แอบรู้สึกดีกับอ้อมแขนที่แสนอบอุ่นนี้

เมื่อหลุดพ้นแวมไพร์สาวก็หันหลังเดินไปอีกทาง กัดริมฝีปากด้วยความรู้สึกขัดใจในหลายๆเรื่อง

ไม่เข้าใจเลยว่าตอนนี้ตัวเองเป็นอะไรไป ..

คนตัวเล็กทำท่าจะเดินจากไป ไม่อยากอยู่เห็นหน้ามากไปกว่านี้แล้ว

“จะรีบไปไหน? อย่าเพิ่งไปสิ นี่เจ้าจะพูดดีๆกับข้าบ้างไม่ได้รึไง?..”     จียงพูดไล่หลังด้วยสีหน้าจริงจัง

“ข้าอยากรู้ ว่ามันจะเป็นไปได้มั๊ย? ที่ไลเคนอย่างข้าจะได้รับรอยยิ้มหรือคำพูดดีๆจากเจ้าบ้าง?”

น้ำเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่าไม่ได้พูดเล่นๆทำเอาดาร่าหยุดชะงัก นิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก

เพราะความรู้สึกนึกคิดในตอนนี้มันช่างขัดแย้งกับสิ่งที่ถูกสั่งสอนมาซะจริงๆ

 

 

“ศัตรูก็คือศัตรู ข้าถูกสอนมาอย่างนี้ เจ้าอย่าพูดในสิ่งที่เจ้าก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ควอนจียง..”

 ‘ ยังไงก็ไม่ได้หรอก ยังไงๆข้ากับเจ้าก็เป็นศัตรูกันอยู่วันยังค่ำ มิตรภาพอะไรนั่นมันไม่มีทางเกิดขึ้นหรอก ’

ดาร่ากัดริมฝีปากแน่น รู้ดีว่าหากต้องพบเจอกับจียงต่อไป ซักวันต้องเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นเป็นแน่

อย่างน้อยก็ภายในใจเธอ .. จียงตัดสินใจเข้ามาใกล้กำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ต้องชะงักไป

เมื่อมีเสียงบางอย่างก่อตัวขึ้นดังมาจากขอบฟ้าอีกฟาก ..

 

‘ พรึ่บ บบ ๆๆๆ พรึ่บ บบ ๆๆๆ พรึ่บ บบ ๆๆๆ ’

 

เสียงอื้ออึงเซ็งแซ่คุ้นหู ดาร่าและจียงต่างก็หันไปให้ความสนใจกับเสียงที่เริ่มดังระงมทั่วทุกสารทิศ

เพียงเวลาไม่นานมันก็ยิ่งดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ บ่งบอกได้ว่าสิ่งมีชีวิตจำนวนมหาศาลกำลังมุ่งมาทางนี้

ร่างบางเริ่มขนลุกเพราะเธอเริ่มสัมผัสได้ถึงสิ่งไม่คาดฝัน ความรู้สึกนี้ สัญญาณแบบนี้ ..

กลิ่นอายแห่งความกระหายเลือดเยี่ยงนี้ ช่างคุ้นเคยเหลือเกิน .. แต่ไม่น่าเป็นไปได้ คงไม่ใช่

 

 

เพียงไม่นานภาพที่ปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆก็ช่วยไขข้อสงสัยให้แวมไพร์สาวได้เป็นอย่างดี

ท่ามกลางบรรยากาศเย็นยะเยือกที่ก่อตัวจากสิ่งมีชีวิตสีดำ

หมู่ค้างคาวนับพันกระพือปีกจากทุกทิศทางตรงมายังพระราชวัง สถานที่ที่บุคคลสำคัญต่างๆรวมตัวกันอยู่

กลุ่มก้อนเงาใหญ่คืบคลานปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณ .. ‘ เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ’

ดาร่าตาโตกับภาพที่เห็น แวมไพร์มากมายขนาดนี้มารวมตัวกันทำไมนะ?

แต่สำหรับอีกฝ่ายกลับมีปฏิกิริยาตรงกันข้าม เพราะนี่คือสิ่งที่เค้ารออยู่

จียงจดจ้องไปยังเงาดำมืดด้วยแววตาเรียบเฉยยากจะคาดเดาอารมณ์

 

 

‘ คราวนี้เอาจริงใช่มั๊ย? เริ่มแล้วสินะ ..’

Like this story? Give it an Upvote!
Thank you!

Comments

You must be logged in to comment
ryouchi_chan
#1
WHAT???????
ryouchi_chan
#2
WHAT???????
JunielPanda
#3
plz engver T_T i can't understand
ammie16 #4
สนุกมากเลยค่ะ อย่าลืมมาอัพต่อนะคะ