บทที่ ๑

Everything and Nothing [THAI TRANSLATE]

ยงซอนลืมตา

 

คลื่นความเจ็บปวดอันร้อนผ่าวกระแทกเข้าหาเธอราวกับการระเบิดของซูเปอร์โนวา ซึ่งปวดวนเวียนอยู่แถวขมับข้างขวาเป็นหลัก จะบอกว่า 'ลืมตา' ก็ไม่เชิงนัก แต่เป็นลืมตาซ้ายหรี่ตาขวาน่าจะถูกต้องกว่า ทุกการกระตุกของเปลือกตา ไม่ว่าจะการกะพริบตาหรือกระพือตาเบา ๆ ก็ทำให้อาการเจ็บปวดอย่างรุนแรงจนแทบสลบแล่นไปถึงกะโหลกศีรษะ

 

นี่เราอยู่ที่ไหนกัน

 

ยงซอนค่อย ๆ เผยอปาก แลบลิ้นที่แห้งสากราวกับกระดาษทรายออกมาเลียปากที่แห้งแตก ปลายลิ้นชื้นแตะโดนก้อนที่รสชาติเหมือนเลือดแห้งที่มุมปาก เธอหายใจออก แต่มันทั้งแห้งและเหม็นอับ เธอกลืนน้ำลายผ่านคอที่แห้งผากอยู่สองสามครั้ง ลูบฝ่ามือไปบนพื้นผิวที่กำลังนอนอยู่

 

เท่าที่รู้จากเนื้อผ้าหยาบสากมือ เธอคงกำลังนอนอยู่บนพรม แค่ขยับนิดเดียวก็ปวดไปทั้งตัว เลยทำให้ต้องอยู่นิ่ง ๆ ปล่อยให้มือทั้งสองวางอยู่ข้างตัว เธอหายใจหอบพลางจ้องมองเพดาน ที่เพดานหินมีรอยร้าวอยู่บ้างแต่ก็ดูเรียบลื่น มีตะเกียงเจ้าพายุแขวนห้อยลงมาจากตรงกลาง มันฉายแสงสีส้มสลัวที่ให้ความสว่างราว ๆ หนึ่งตารางเมตรครึ่งบนผนังหินทั้งสองฝั่ง

 

ยงซอนจับเนื้อผ้าหยาบไว้ด้วยนิ้วโป้งและนิ้วชี้ ถูไปมาช้า ๆ เราไม่ได้อยู่ในห้องตัวเอง สมองเธอยังไม่ค่อยตื่นตัวเท่าไรนัก แค่จะทำความเข้าใจกับเรื่องนี้เรื่องเดียวยังต้องใช้เวลาสักพักหนึ่ง เธอมองดูโคมไฟกระพริบเมื่อเปลวไฟข้างในกำลังเผาผลาญน้ำมัน เราไม่ได้อยู่ในห้องของตัวเอง ที่วังไม่ได้เป็นแบบนี้ เราอยู่... เราอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้

 

อาการปวดหัวตุบ ๆ ก็ไม่ได้ดีขึ้น เธอกลืนน้ำลายผ่านคอแห้ง ๆ อีกครั้ง แล้วค่อย ๆ เริ่มรู้สึกถึงความร้อนที่เพิ่มขึ้นและอาการเจ็บปวดระคายคอ ราวกับว่าคอของเธอไม่ได้เจอกับของเหลวใด ๆ เลยนอกจากทรายมาเป็นพัน ๆ ปี

 

เธอหายใจออกอีกครั้ง แล้วสูดเอาอากาศเหม็นอับเข้าไปแทน อากาศที่ไม่ถ่ายเทเริ่มทำให้เม็ดเหงื่อเล็ก ๆ ก่อตัวขึ้นตามไรผมและตามรอยโค้งเหนือริมฝีปากบน เธอหลับตาลง ไม่สนใจคอที่แห้งผาก พยายามไม่ขยับร่างกาย

 

ยงซอนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้วระหว่างที่จดจ่ออยู่กับลมหายใจ พยายามรวบรวมกำลัง เพื่อให้อย่างน้อยจะได้ดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งได้ ผมที่ยุ่งเป็นสังกะตังของเธอนั้นยาวมาก มันจึงเหนียวติดตามหน้าผาก คอ และแขน เธอพยายามขยับขาที่เหมือนเป็นแท่งตะกั่วหนัก ๆ ซึ่งแปะติดอยู่กับช่วงตัว แต่อย่างน้อยก็พอขยับได้บ้าง

 

ตอนที่เธอค่อย ๆ ยกต้นขาขึ้น ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรนุ่ม ๆ ปัดผ่านผิว เธอกระพริบตาอย่างงุนงง จ้องสำรวจชายผ้าที่เย็บอย่างหยาบ ๆ ของชุดกระโปรงยาวเสมอเข่าคล้ายชุดนอนที่เธอกำลังสวมอยู่

 

เสียงโลหะกระทบกันทำให้เธอตระหนักถึงสิ่งที่อยู่นอกห้อง ซึ่งหากประเมินจากเสียงแล้ว น่าจะอยู่ห่างออกไปทางซ้ายมือ เธอได้ยินเสียงไขกุญแจดังกริ๊ก ตามด้วยเสียงเหล็กครูดของกลอนเหล็กขึ้นสนิมที่ถูกดึง แสงสว่างสาดเข้ามาเต็มห้อง เธอเห็นจากหางตาว่ามีรองเท้าหนังขัดเงาติดหัวเข็มขัดทองแวววาวคู่หนึ่งกำลังเดินมาหา และได้ยินเสียงผ้าหนัก ๆ ลากมาตามพื้น

 

"แหม แหม" เสียงทุ้มก้องของผู้ชายดังขึ้น น้ำเสียงเจือด้วยความเย้ยหยัน "ไหนดูซิว่าใครกัน"

 

ยงซอนพยายามอยู่ให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ จ้องมองเพดานด้วยตาซ้าย ความกลัวก่อตัวขึ้นในช่องท้อง ความคิดเรื่องการที่อาจจะถูกทรมาน ความตาย การไถ่เชลย และความเจ็บปวดที่อาจจะมากกว่านั้น ทำให้เธอปวดหัวเพิ่มขึ้นอีกสิบเท่า นิ้วมือสั่นระริกบนพรมเก่า ๆ เธอสวดอ้อนวอนอย่างสิ้นหวังว่าขอให้เธอตื่นขึ้นในบ้านตัวเอง บนเตียงกำมะหยี่แสนนุ่ม และกำลังนอนมองลวดลายอันประณีตของฝ้าเพดานห้อง

 

 

โชคร้ายที่เธอไม่ได้โชคดีขนาดนั้น

 

เธอได้ยินเสียงรองเท้าอีกคู่เดินตรงมาหา แล้วหยุดห่างออกไปเล็กน้อย เสียงผู้ชายพูดขึ้นอีกครั้ง แล้วเธอก็นึกภาพเงาของคนที่ใส่เกราะแขนทองคำกำลังกอดอกอยู่ "เอ้า ไปช่วยพยุงนางให้ลุกขึ้นนั่งสิ ข้าไม่ไปทำเองหรอกนะ"

 

ยงซอนพยายามไม่ร้องครางอย่างหวาดกลัว ด้วยความคิดแสนสะพรึงที่ว่าจะมีมือหยาบกร้านมาแตะตัว เธอไม่มีทางสู้กลับได้เลย ยงซอนเตรียมใจจะเห็นสันกรามหนาที่ไม่ได้โกนหนวดเคราของผู้ชายร่างใหญ่อยู่เหนือตัวเธอ แต่กลายเป็นว่า เธอกลับเห็นผมตรงยาวสีน้ำตาลจากทางหางตา และมือที่จับไหล่เธออยู่นั้นก็หยาบกร้านน้อยกว่าที่คิดไว้

 

ผู้หญิงคนนั้นดึงร่างบางของเธอขึ้นด้วยแรงที่มากกว่าที่คาด ยงซอนร้องครางเบา ๆ ขณะที่รู้สึกถึงความเจ็บปวดราวกับโดนดาบทิ่มแทง แล้วก็รู้สึกเหมือนห้องหมุนคว้างเล็กน้อยเมื่อเลือดสูบฉีดขึ้นไปที่หัวราวกับเป็นคลื่นที่แสนเจ็บปวด ยงซอนใช้มือยันพื้นเอาไว้เพื่อพยุงตัว ตัวสั่นเล็กน้อย

 

"แหม เจ้าหญิงตัวน้อยของเรานี่อ่อนแอเสียจริงนะ" เสียงผู้ชายเอ่ยอย่างเย้ยหยัน ยงซอนยกมือข้างที่ว่างขึ้นมาเช็ดเหงื่อที่ไหลมาจากหน้าผาก ไม่สนใจเสียงของชายคนนั้นเลยแม้แต่น้อย

 

"มุน หันหน้านางมาหาข้าซิ รุนแรงก็ได้ถ้าจำเป็น"

 

ยงซอนรู้สึกถึงมือบนไหล่อีกครั้ง มือนั้นกระชากตัวเธอให้หันไปทางซ้ายเก้าสิบองศา เธอจึงเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นตรง ๆ เธอสูดหายใจเข้า

 

เพราะแสงสลัวจึงทำให้มองเห็นเค้าโครงหน้าของผู้หญิงคนนั้นได้ยาก และยิ่งเธอหันหลังให้ตะเกียงบนเพดานก็ยิ่งทำให้เห็นได้ไม่ชัด แต่ผู้หญิงคนนี้ก็สวยเสียจนน่าหงุดหงิด เธอมีผมสีน้ำตาลเทายาวถึงช่วงอก และผมหน้าม้าที่ถูกคาดไว้ด้วยแผ่นหนังสีดำที่คาดอยู่รอบหน้าผาก แววตาของเธอนั้นมืดมน แข็งกร้าว และไร้ซึ่งความรู้สึก ใบหน้านั้นไร้ซึ่งอารมณ์ โพรงจมูกเธอขยายเล็กน้อย สันจมูกย่นนิดหน่อย

 

ทันทีที่เธอขยับตัวยงซอนเข้าที่เรียบร้อย เธอก็ยืนขึ้นแล้วกลับไปที่เดิม เพื่อไปยืนอยู่ข้างชายคนนั้น ไม่มาขวางทางเขา ยงซอนทำใจกล้าแล้วเงยหน้าขึ้น

 

ชายคนนี้ตัวสูง ผมสีดำนั้นตัดทรงสั้นที่ดูแลอย่างดี มีรูปหน้าที่ดูแข็งกร้าว เห็นโครงหน้าชัดเจน และถ้าให้เดาเขาน่าจะอายุราวสี่สิบปีนิด ๆ และที่วางอยู่บนผมสีดำเงางามก็คือมงกุฎทองคำทั้งชิ้นซึ่งระยิบระยับแวววาวด้วยเพชรพลอยประดับทั้งหลาย ที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างประณีตพอ ๆ กับมงกุฎของพ่อเธอ ผ้าคลุมสีม่วงประจำราชวงศ์กลัดอยู่ที่คอ ซึ่งตัวเข็มกลัดทำจากทองคำฝังอะเมทิสต์ และแม้ชายคนนี้จะไม่มีอาวุธ แต่เขาก็ดูอันตรายและมีอำนาจกว่าขุนนางคนไหน ๆ ที่เคยไปเยี่ยมที่วังของท่านพ่อ

 

ยงซอนละสายตาไปจากเขาครู่หนึ่ง ไปยังผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างเขา เธอสวมเสื้อตัวยาวสีดำเรียบ ๆ แขนยาวเสมอศอก ชายเสื้อสอดเข้าไปในกางเกงผ้าฝ้ายสีดำ และรองเท้าเดินป่าที่ผูกเชือกรองเท้าขึ้นมาถึงเข่า ดาบห้อยจากเข็มขัดอยู่ข้างเอว หัวด้ามดาบประดับด้วยพลอยสีฟ้า

 

"สวัสดีคิมยงซอน ธิดาแห่งคิมแทวอน เจ้าหญิงแห่งอาณาจักรสุริยัน" ชายคนนั้นเอ่ยอย่างสุภาพแม้ว่าการแสดงออกจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยก็ตาม "ข้ายอมลดตัวลงมาอยู่ที่นี่ในวันนี้ เพื่อมาดูธิดาของศัตรูตัวฉกาจที่ตกอยู่ในเงื้อมมือของข้า ในห้องขังอันน่าสะอิดสะเอียน ช่างเป็นวันที่ดีเสียเหลือเกิน"

 

รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมประดับอยู่บนริมฝีปากของเขา ตาเป็นประกายด้วยความมุ่งร้ายโดยธรรมชาติ "ข้าได้สนุกกับเรื่องนี้แน่ ๆ ล่ะ ไม่ต้องห่วงหรอก เจ้าน่ะเป็นหมากของข้าแม่ยงซอนตัวน้อย นี่คือครั้งแรกและหวังว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะอยู่ในห้องขังนี้ แต่ข้าก็แค่หวังนั่นล่ะนะ" น้ำเสียงของเขาแข็งกร้าวเล็กน้อยแต่ก็ยังช่างพูดช่างจา "อย่าได้ทำอะไรล้ำเส้นเชียวล่ะแม่หนูยงซอน เพราะเจ้าไม่อยากให้ข้ากลับมาที่นี่เป็นครั้งที่สองหรอก"

 

หลังจากการสะบัดผ้าคลุมไหล่อย่างมากท่าทีและฝุ่นที่ตลบอบอวลขึ้นมาจากพื้น เขาก็ออกไปจากห้อง ผู้หญิงคนนั้นก็ตามเขาไปอย่างช้า ๆ แล้วหยุดอยู่ที่ประตู ยงซอนเห็นมือของเธอคว้าขอบถาดดีบุก ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อยและหมุนตัวกลับมา เธอเดินมาหายงซอนพร้อมกับถาดใบนั้น ประตูที่อยู่ด้านหลังปิดกระแทกเสียงดัง

 

"มื้อเย็น" เธอพูด วางถาดลงตรงหน้ายงซอน แล้วนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างหน้า สายตาอันเยือกเย็นมองตรงไปที่เจ้าหญิง ยงซอนจ้องกลับไปอย่างท้าทาย เกลียดน้ำเสียงดูถูกดูแคลนที่ใช้พูดกับเธอราวกับเธอไม่มีค่าพอให้มาเสียเวลาด้วย "เจ้ากินเองได้ไหม"

 

ยงซอนส่ายหัว หรือพยายามจะส่ายหัว เพราะพอเธอพยายามจะขยับความทรมานก็ปะทุขึ้นในหัว และขมับก็ปล่อยเถาวัลย์แห่งความเจ็บปวดไปทั่วกะโหลก

 

"โอ๊ย" เธอร้องครางเสียงแหบแห้ง และนั่นน่าจะเป็นคำแรกที่เธอพูดในรอบวัน เธอไม่รู้ว่าตัวเองสลบไปนานแค่ไหน เธอสะดุ้งเล็กน้อยหลังจากที่อุทานออกไป รู้สึกเสียใจขึ้นมา เธอไม่อยากถูกปฏิบัติเหมือนว่าเธอเป็นเด็กเจ้าอารมณ์ไปมากกว่านี้

 

โพรงจมูกของผู้หญิงคนนั้นขยายอีกครั้ง เธอเผลอแสดงออกทางสายตาไปชั่วครู่หนึ่ง แล้วเหลือบมองที่ขมับของยงซอน ก่อนจะลดระดับกลับมาที่ระดับสายตา ยงซอนหยุดนิ่ง ยกมือขึ้นมาแตะที่ขมับขวา ปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางแตะโดนผิวที่แข็งและเป็นสะเก็ด ยงซอนลากนิ้วไปรอบบริเวณนั้นด้วยความรู้สึกคลื่นไส้ก่อนจะลดมือลงมา

 

นิ้วของเธอเปื้อนเลือดอุ่น ๆ สีแดงเข้ม เธอยกตัวขึ้นเล็กน้อย ทิ้งน้ำหนักลงไปที่มือเพื่อยันตัวเองเอาไว้ สีหน้าของผู้หญิงคนนั้นยังคงนิ่งเฉยแต่มือนั้นวางอยู่ที่หัวด้ามดาบประดับพลอย สายตาอันเยือกเย็นของเธอจ้องเขม็งอยู่ที่จุดกึ่งกลางระหว่างดวงตาของยงซอน

 

"ต้องให้ข้าป้อนไหม หรือไม่ต้องให้ข้ายุ่ง" เธอพูดอย่างเย็นชา

 

ยงซอนหลับตา นับการหายใจเข้าออกสามครั้ง ปล่อยให้ความโกรธที่มีค่อย ๆ หายไปก่อนจะลืมตา เธอไม่ได้อยู่ในจุดที่จะตอบโต้ได้ ฉะนั้นเธอควรทำตามที่พวกนั้นบอกจนกว่าเธอจะมีแรงขึ้นมาบ้าง เธอเช็ดเลือดกับชายกระโปรงก่อนจะชี้ไปที่ผู้หญิงคนนั้นแล้วก็ชี้มาที่ตัวเอง ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่หยิบช้อนและถ้วยที่มีน้ำซุปผักกาดแบบใสผสมกับธัญพืชเละ ๆ ขึ้นมา เธอป้อนอาหารจืด ๆ พวกนั้นให้ยงซอนด้วยช้อนทีละคำ ยงซอนก็พยายามไม่ทำตัวเย่อหยิ่งและอ้าปากตอนที่อีกฝ่ายบอก ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นการจ้องเขม็งด้วยดวงตาดำขลับ และช้อนที่จ่ออยู่ตรงปากเธอนิ่ง ๆ

 

ผู้หญิงคนนั้นไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาเลย ยงซอนยอมให้ตัวเองถลึงตาใส่บ้างนาน ๆ ที แต่ผู้หญิงคนนั้นก็แค่จ้องเฉย ๆ ราวกับว่าเรื่องทั้งหมดนี่มันน่าเบื่อ และมันก็คงเป็นอย่างนั้นแหละ

 

พอป้อนซุปหมดแล้ว ผู้หญิงคนนั้นก็วางถ้วยลงในถาดแล้วหยิบแก้วน้ำขึ้นมา เธอจ่อมันที่ปากของยงซอนแล้วเอียงแก้วเพื่อให้น้ำไหลไปแตะผิวแห้ง ๆ ที่ริมฝีปาก ยงซอนอ้าปากเพื่อให้ผู้หญิงคนนั้นเอียงแก้วได้มากขึ้น น้ำไหลลงไปตามคอของเธอ ความเย็นอันแสนชื่นใจทำให้คอของเธอรู้สึกดีขึ้นมาก

 

พอเธอดื่มน้ำหมดแก้วผู้หญิงคนนั้นก็วางแก้วลงในถาด แล้วยกมือขึ้นมาลูบผมขึ้นไปให้ไม่เกะกะใบหน้า

 

"ขอบคุณ" ยงซอนพูดออกมา ไม่ปล่อยให้มารยาทอันดีเลิศของเธอหายไป ถึงแม้เธอจะอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่น่าพูดขอบคุณก็ตาม

 

ผู้หญิงคนนั้นมองเธอและยังไม่แสดงอารมณ์อะไร แต่เธอเอียงหัวไปข้าง ๆ นิด ๆ เพียงแค่นิดเดียวจนเธอเกือบจะไม่เห็น  ผู้หญิงคนนั้นลุกจากการนั่งขัดสมาธิด้วยการเคลื่อนไหวอย่างลื่นไหลเพียงครั้งเดียวแล้วย่อตัวลง ดันถาดออกไปด้านข้างแล้วใช้นิ้วเรียวยาวของเธอโอบรอบต้นแขนของยงซอน เจ้าหญิงมองเธอด้วยความสับสน แต่ผู้หญิงคนนั้นก็กระชากให้เธอลุกขึ้นมานั่งคุกเข่า ยงซอนสะดุ้งเพราะพรมหยาบ ๆ เสียดสีกับหัวเข่าอันเปลือยเปล่า

 

เธอเห็นเส้นเลือดปูดขึ้นมานิด ๆ บนแขนของผู้หญิงคนนั้นตอนที่เธอดึงยงซอนขึ้นมาเหมือนเป็นแมวพันธุ์แร็กดอลล์ ยงซอนยืนอย่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ขายังปรับตัวรับน้ำหนักไม่ได้ เธอคงจะล้มไปแล้วถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่จับตัวเธอเอาไว้ห่าง ๆ พยายามโดนตัวเธอให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำอย่างกับว่ายงซอนเป็นโรคติดต่อร้ายแรง

 

"นี่เราทำอะไรกันอยู่น่ะ" เธอพูดออกมาขณะที่ความเจ็บปวดถาโถม

 

"เจ้าต้องไปล้างเนื้อล้างตัว" เสียงทุ้มต่ำของผู้หญิงคนนั้นตอบกลับอย่างเบื่อหน่าย สายตาจ้องไปที่กำแพงด้านหลังยงซอน ในขณะที่รอให้เจ้าหญิงองค์นี้กลับมาคุ้นเคยกับการใช้ขาอีกครั้ง

 

กว่าขาของยงซอนจะปรับตัวรับน้ำหนักของเธอได้ก็เป็นเวลาเกือบห้านาที และทันทีที่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ล้มแล้ว ผู้หญิงคนนั้นก็กึ่งลากกึ่งจูงพาเธอออกมานอกห้องขังสลัว ๆ พยักหน้าให้ทหารยามสวมชุดเกราะเต็มตัวที่อยู่ด้านนอก

 

เธอถูกพาไปยังห้องที่ใหญ่กว่า มีอ่างน้ำที่ทำจากหิน รูที่พื้นสำหรับทิ้งของเสียจากร่างกาย และกระจกสกปรกบานหนึ่งเหนืออ่างซึ่งมีน้ำที่มาจากเครื่องสูบน้ำและถ้วยดีบุกสำหรับตักน้ำ ผู้หญิงคนนั้นปิดประตูด้านหลังแล้วลงกลอน

 

"ข้าควรต้องถอดชุดนี้ออกไหม" ยงซอนถามอย่างอ่อนแรงขณะที่ดึงเนื้อผ้าของเสื้อชั้นในที่ไม่ได้ปิดบังร่างกายเท่าไรนัก

 

ผู้หญิงคนนั้นมองสำรวจเธอเร็ว ๆ อย่างหงุดหงิด ก่อนจะพูดว่า "ไม่ นอกจากเจ้าจะอยากอยู่แบบเปลือยกายไปตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่" เธอพูดด้วยความจริงจัง น้ำเสียงห่างเหิน

 

ยงซอนหันหน้าหนีจากผู้หญิงคนนั้น เดินโซเซไปที่อ่างน้ำแล้วยืนพิงมันเอาไว้ เธอเงยหน้าขึ้น สบตากับตัวเองในกระจกแล้วสูดหายใจเข้าอย่างฉับพลัน ขมับข้างขวาของเธอปกคลุมไปด้วยคราบเลือดแห้งและมีเลือดที่ยังไหลออกมาอยู่บ้างเล็กน้อยเป็นบางจุด ตาขวาบวมจนลืมตาไม่ขึ้น ริมฝีปากแตกที่ด้านข้าง และมีรอยช้ำสีเหลืองคล้ำที่เห็นได้ชัดอยู่ข้าง ๆ กัน แขนเธอคือการผสมผสานหลากสีของรอยช้ำและรอยถลอก ส่วนข้อมือนั้นก็แดงและกำลังฟื้นตัวจากการเสียดสีกับเชือก

 

เรามาเจอเรื่องบ้า ๆ นี่ได้อย่างไรกัน

 

ยงซอนปรับการหายใจให้คงที่ก่อนจะจุ่มมือลงไปในน้ำ เธอยังรู้สึกวิงเวียนจากการเดินช่วงสั้น ๆ มาที่ห้องอาบน้ำ เธอพยายามไม่นึกถึงห้องอาบน้ำแสนหรูหราที่บ้าน อ่างอาบน้ำ และอ่างน้ำดี ๆ

 

เธอก้มหน้าลง ไม่สนใจอาการเจ็บปวดที่ทิ่มแทงขึ้นมาอย่างฉับพลันไปตามสันหลังและหลังช่วงล่าง แล้วก็วักน้ำใส่หน้า เธอทำใจให้สงบแล้วค่อย ๆ ถูคราบเลือดแห้ง ๆ ออก รู้สึกถึงสายตาของผู้หญิงคนนั้นที่กำลังจ้องเขม็งมาที่แผ่นหลังของเธอ พวกคราบเลือดเช็ดออกค่อนข้างง่าย ไม่นานนักใบหน้าเธอก็แทบจะกลับมาเป็นปกติ หากไม่นับพวกรอยช้ำและบาดแผล เธอใช้น้ำที่เหลือล้างแขนและขา

 

ตอนเธอหันกลับมาหลังจากที่ทำความสะอาดแผลเรียบร้อย ผู้หญิงคนนั้นก็เอาดาบออกมาจากฝักแล้ว และกำลังเพ่งพิศใบดาบที่ขัดเงาอย่างเฉยเมย ยงซอนหรี่ตามองด้วยตาข้างที่ไม่บาดเจ็บแล้วจึงเห็นว่าเป็นดาบยาว ที่มีใบดาบแบบพิเศษซึ่งทำจากโลหะสีดำเงา ส่วนครอสการ์ดดูจะเป็นโลหะผสมสอง มีลวดลายแกะสลักเป็นเส้นโค้งและฝังประดับด้วยอัญมณีเม็ดเล็ก และพอผู้หญิงคนนั้นเอียงดาบเล็กน้อย ยงซอนก็เห็นรอยอักษรรูนแกะสลักอยู่ตามร่องดาบ

 

ผู้หญิงคนนั้นเงยหน้าขึ้นจากดาบแล้วสบตากับยงซอน เธอเก็บดาบเข้าฝัก สายตานั้นจ้องเขม็งมาที่ยงซอน เธอพยักพเยิดหน้าไปทางประตูแล้วเจ้าหญิงก็หายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเดินโซเซไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว เข่าที่อ่อนแรงแทบจะรับน้ำหนักไม่ไหว

 

ผู้หญิงคนนั้นจับแขนเธอไว้แน่น แล้วพากลับไปที่ห้องขัง ยงซอนเดินกะโผลกกะเผลก ตั้งสมาธิกับการดูผมสีน้ำตาลนุ่มสลวยของผู้หญิงคนนั้นปัดไปมาบนหลัง หลังช่วงล่างของยงซอนเริ่มปวดขึ้นมา ทำให้เธอสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ระหว่างที่เธอสลบไป ความทรงจำของเธอกลับคืนมาอย่างช้า ๆ แต่ก็เลือนลางและดูห่างไกล เหมือนกับการเอื้อมมือขึ้นไปพยายามสัมผัสดวงดาว

 

ทหารยามที่เฝ้าอยู่ด้านนอกห้องขังไขกุญแจประตู ถือดาบฟอลชั่น*ไว้ข้างตัว ท่าทางไม่ยี่หระ แต่เจตนานั้นชัดเจน : อย่าทำอะไรโง่ๆ  ยงซอนถูกดันให้กลับเข้าไปอยู่ในห้องขังที่ร้อนอบอ้าวอึดอัด และผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ได้ตามเข้ามา แต่กลับยืนอยู่ที่ประตู มือวางที่หัวด้ามดาบ นิ้วโป้งลูบไล้อัญมณีที่ฝังอยู่ตรงกลางอย่างเลื่อนลอย เธอมองยงซอนด้วยสายตาอันว่างเปล่าอีกครั้งก่อนจะหันหลัง แล้วประตูก็ปิดลง

 

*(ดาบฟอลชั่น คือดาบสั้นชนิดหนึ่ง ใบดาบกว้างและโค้ง มีปลายแหลม มีคมด้านเดียว)

 

-

 

มันเป็นวันที่อบอุ่นและอากาศสดชื่น สายลมแห่งอรุณรุ่งพัดกระโปรงของยงซอนให้พริ้วไหวเล็กน้อย และสร้างระลอกคลื่นเล็ก ๆ ไปทั่วทุ่งหญ้าชุ่มน้ำค้าง เจ้าหญิงย่อตัวลง แล้วค่อย ๆ จัดทรงชุดกระโปรงสีม่วงอ่อนราคาแพงของเธอเพื่อไม่ให้กระโปรงยับ

 

นิ้วเรียวสวยค่อย ๆ ไล่แตะดอกตูมมากมายทั้งหลายในทุ่งหญ้า เธอส่งเสียงร้องอย่างปลื้มปิติออกมาเบา ๆ เมื่อบังเอิญพบดอกที่บานแล้วคู่หนึ่งแทรกตัวออกมาจากพงหญ้า ยงซอนค่อย ๆ แหวกกลุ่มหญ้า แล้วมองดูดอกไม้สีชมพูที่แม้จะยังเป็นเพียงดอกน้อย ๆ แต่ก็ใหญ่พอที่จะมองเห็นได้ กลีบดอกเป็นสีชมพูอ่อนที่ดูนุ่มนิ่ม และถูกปกคลุมด้วยน้ำค้างหยดเล็ก ๆ

 

ยงซอนได้ยินเสียงคนเดินมาจากทางด้านหลัง จังหวะก้าวหนักแน่นและรวดเร็วกว่าที่ทหารยามของเธอเดิน เธอค่อย ๆ หันไป คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะอ้าปากกรีดร้องอย่างเงียบงัน แล้วก็มีมือที่ใส่ถุงมือเนื้อหยาบมาบีบขากรรไกรเอาไว้ ปิดกั้นเสียงที่เธอร้อง

 

เจ้าหญิงรู้สึกว่ามีคนมาจับแขน บีบแน่นจนเธอรู้สึกเจ็บแล้วดึงให้เธอลุกขึ้น เธอดิ้นไปมาในขณะที่ถูกจับตัวอยู่ แต่เธอไม่เคยได้ทำกิจกรรมอะไรที่ต้องใช้แรงนอกจากการวิ่งขึ้นบันไดเข้าวัง และถึงอย่างนั้นการขัดขืนของเธอก็อ่อนแรงเสียจนน่าเห็นใจ ชายคนที่จับตัวเธออยู่พยักหน้า แล้วอีกคนก็รีบเดินเข้ามาเงียบ ๆ

 

ยงซอนไม่ทันจะได้โต้ตอบอะไรก็โดนกำปั้นสวมถุงมือฝังหมุดอัดเข้าที่ขมับอย่างแรง การมองเห็นของเธอดับวูบ

 

ตอนที่ยงซอนตื่นขึ้นมาอีกครั้งหัวของเธอก็ปวดตุบ ๆ แขนก็หนักเหมือนเป็นตะกั่ว ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่มารวมกันอยู่ตรงช่วงหลังส่วนล่างบริเวณเอว แล่นขึ้นไปตามกระดูกสันหลังไปจนถึงคอ และเธอต้องใช้เวลาสองถึงสามวินาทีกว่าจะรู้ว่าตัวเองกำลังขยับตัวอยู่ ไม่ได้ขยับด้วยตัวเอง แต่จากแรงกดแถว ๆ ช่วงท้องและสัมผัสหยาบกร้านของเชือกที่พันอยู่รอบแขน เธอถึงได้รู้ว่าตัวเองถูกมัดไว้กับม้าที่กำลังวิ่งอยู่ ยงซอนได้ยินเสียงเกือกม้ากระทบพื้น ที่เบาลงเล็กน้อยเมื่อวิ่งบนหญ้านุ่ม ๆ และความอุ่นจากจากผิวหนังของม้าซึมซาบผ่านเสื้อผ้ามาถึงผิวหนังของเธอ

 

เธอมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีครามไร้เมฆ ความร้อนจากพระอาทิตย์แผดเผาใบหน้าและผิวที่อยู่นอกร่มผ้า ทำให้มีหยาดเหงื่อไหลลงไปตามด้านข้างใบหน้า เหงื่อหยดหนึ่งไหลไปทางด้านขวา ลงไปที่ขมับของเธอ แล้วความเจ็บแสบก็ปะทุขึ้นมาจนทำให้เธอต้องหลับตา เธอครางออกมาเบา ๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ

 

"เจ้าหญิงรู้สึกตัวแล้วครับหัวหน้า" เสียงผู้ชายคนหนึ่งพูดจากทางขวาของเธอ

 

"เอาน้ำให้นางดื่มแล้วฟาดให้สลบอีกที มันเดินทางง่ายกว่า" ผู้เป็นหัวหน้าเอ่ยตอบห้วน ๆ เสียงเขาค่อนข้างแหบ แล้วก็กลับมาเงียบอีกครั้ง เสียงเดียวที่ได้ยินคือเสียงเกือกม้ากระทบพื้น สักพักยงซอนก็รู้สึกว่าม้าของเธอเดินช้าลง แล้วปากของถุงบรรจุน้ำก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอ

 

นิ้วมือที่ดูแข็งแรงกำยำบีบช่วงคอของถุงบรรจุน้ำ แล้วน้ำเย็นสะอาดสดชื่นก็ไหลเข้าสู่ปากที่แห้งผาก ทำให้ลิ้นและคอชุ่มชื้นเล็กน้อย จากนั้นถุงบรรจุน้ำก็ถูกดึงออกไปก่อนที่เธอจะได้ดื่มน้ำให้เป็นเรื่องเป็นราว พอกลืนน้ำลงไปเรียบร้อยเธอก็ถูกอัดเข้าที่ตาขวาทันที แล้วก็สลบไป

 

 

-

 

 

ยงซอนพลิกตัวบนพรม เอามือกดที่ขมับตรงจุดที่แผลกำลังสมานตัวอย่างช้า ๆ อาการเจ็บยังไม่หายสนิท แต่ก็ถือว่าดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้

 

เธอกระพริบตาที่ยังเหนียวหนึบหนับเพราะมีขี้ตาแล้วยืดเส้นยืดสายร่างกายที่แข็งทื่อ รู้สึกถึงกล้ามเนื้อที่ได้ยืดตัวแล้วก็ผ่อนคลาย ความเจ็บปวดยังมีอยู่ แต่เธอก็เรียนรู้ที่จะไม่สนใจมัน ไหล่และคอนั้นปวดเพราะท่าทางการนอนที่ไม่สบายตัว และเหงื่อที่ออกมาก็ทำให้ชุดที่ใส่เหนียวติดไปตามตัว ตามจุดที่ทำให้รู้สึกไม่ดี

 

เราอยู่ในห้องขัง เธอพิจารณา จ้องมองขึ้นไปที่เพดานอีกครั้ง ไล่สายตาไปตามรอยร้าวจนกลับไปมองที่ด้านข้างของตะเกียงเจ้าพายุอีก เธอหรี่ตาข้างที่ยังดีอยู่ คิ้วขมวด ข้างใต้กระจกมีสัญลักษณ์ที่เล็กมากจนแทบมองไม่เห็น ซึ่งเป็นเส้นโค้งที่หน้าตาเหมือนเลขเจ็ด และมีเส้นโค้งแนวนอนสามเส้นลากออกมาจากตัวเลขเจ็ด สัญลักษณ์แห่งอาณาจักรอันธการ หรือบูชอน เมืองหลวงของโคไรอา

 

เราอยู่ในห้องขังที่บูชอน เจ้าหญิงจ้องที่สัญลักษณ์ ทั้งตกใจและโกรธเคือง ด้วยความที่มาจากอาณาจักรสุริยัน หรือโซล แคว้นที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโคไรอา และพระธิดาเพียงองค์เดียวของพระราชา เธอจึงไม่เคยเดินทางข้ามไปแคว้นอื่นมาก่อน เพราะเธอคงไม่เป็นที่ต้อนรับ

 

ประวัติศาสตร์แห่งความบาดหมางระหว่างบูชอนกับโซล คือสิ่งหนึ่งที่ยงซอนก็รู้ดี แม้คนอื่นจะคิดว่าเธอเป็นคนไร้สมองที่ทำเป็นแค่เล่นสนุกและเก็บดอกไม้ ซึ่งเธอก็ยอมรับว่าชอบทำ และแม้ว่าเธอจะให้ความรู้สึกแบบคนไม่คิดมากและถ่อมตัว แต่ความฉลาดของเธอก็ถูกซ่อนอยู่ภายใต้ลักษณะอาการเหล่านั้น

 

เธอปรับลมหายใจให้คงที่ แล้วกลับไปมองที่เพดานหินอีกครั้ง ไม่สนใจอาการปวดตุบ ๆ ที่หัวตอนที่เรียบเรียงความคิด ราชาแห่งบูชอนพยายามเข้าครอบครองแคว้นที่ปกครองตัวเอง หรืออย่างน้อยก็ให้เหล่าราชาและเหล่าขุนนางสาบานคำสัตย์ปฏิญาณต่อเขา เขาประสบความสำเร็จอย่างมากในการจัดการขยายอาณาเขตออกไปได้กว่าสามสิบแคว้น ซึ่งรวมถึงแคว้นที่มีขนาดใหญ่กว่าอย่างปูเซนและจอนจูที่อยู่ใต้การปกครองของเขา แต่กระนั้นเขาก็ไม่อาจทำให้ราชาแห่งโซลมาจงรักภักดีได้

 

ยงซอนสั่นเทาด้วยความกลัว นั่นคือเหตุผลที่เราอยู่ที่นี่ เราเป็นหมากตัวหนึ่ง เป็นเหยื่อล่อ เขาจะใช้เราเพื่อบีบบังคับให้ท่านพ่อสวามิภักดิ์กับบูชอน

 

เธอพลิกตัวนอนตะแคงข้าง ขดตัวเหมือนเป็นลูกบอลแล้วหลับตา ปล่อยให้ความเงียบเข้ามาครอบงำ ในฐานะเจ้าหญิง เธอทำความเข้าใจมาได้นานแล้ว กับข้อเท็จจริงที่ว่าเธอมีแนวโน้มจะตกอยู่ในอันตรายถึงตาย ณ ที่ใดก็ได้ แล้วเธอก็ตำหนิตัวเองที่ถูกจับมา โดยทหารบูชอนเสียด้วยนะ เธอไม่ได้เดินออกห่างจากองครักษ์ของเธอมากนัก แต่พวกเขาคงถูดอัดสลบไปก่อนที่จะทันได้ร้องเตือน

 

เธอไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว แต่ท้องก็รู้สึกโล่งและหิวโหย ความอยากกินอาหารตอนที่ไม่มีอาหารอยู่ คือสิ่งที่เธอไม่คุ้นเคย เพราะเธอเคยชินกับการที่มีคนคอยรับใช้ เธอกดมือลงบนท้อง พยายามกลั้นเสียงร้องโอดโอย ถูกจับเป็นตัวประกันนี่แย่ชะมัด

 

ครั้งถัดมาที่ประตูห้องขังเปิดออก ยงซอนก็ลืมตาขึ้น แค่ข้างเดียว แล้วหรี่ตามองไปที่แสงไฟสีส้มที่สาดส่องเข้ามาในห้อง ผู้หญิงคนนั้น ที่ชื่อมุน ถ้าเธอจำไม่ผิด ถือถาดอาหารมาด้วย ประคองไว้ที่สะโพก ผมสีน้ำตาลเทาถูกมัดไว้เป็นหางม้าหลวม ๆ แผ่นหนังสีดำยังคาดอยู่รอบหน้าผาก ยงซอนตบตัวเองอยู่ในใจที่ไปคิดว่าพอมัดผมขึ้นแล้วมุนดูน่ารักขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ เธอมองยงซอนอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าเย็นชาเป็นพิเศษ ก่อนจะวางถาดลงข้างประตู

 

"กินซะ ข้าจะกลับมาเก็บถาดในอีกสองชั่วโมง" เธอวางมือลงบนด้ามดาบเพื่อขู่ ก่อนจะหมุนตัวกลับไปตามทางที่เข้ามา

 

ยงซอนค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่ง แล้วบ่นกับตัวเองเบา ๆ เมื่อความเจ็บพุ่งขึ้นมาจากหลังส่วนล่าง เธอใช้หลังมือเช็ดเหงื่อออกจากคิ้วแล้วลุกขึ้นยืนด้วยตัวสั่นเทิ้ม เธอรอให้ต้นขาหยุดสั่นก่อนจะมุ่งหน้าไปที่ประตู ย่อตัวลงข้าง ๆ บนถาดมีจานตะกั่วใส่ขนมปังกับชีส และน้ำหนึ่งแก้ว

 

เธอจ้องมองอาหารอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลากถาดไปที่พรมแล้วนั่งขัดสมาธิลงบนผืนผ้าเนื้อหยาบนั้น ในขณะที่กินเธอก็ดูแสงจากตะเกียงกะพริบสั่นไหว แล้วมองดูสัญลักษณ์บูชอนที่สลักไว้และกำแพงหินสกปรก เธอใช้เวลากินอาหารอย่างเต็มที่ กัดคำเล็ก ๆ เคี้ยวช้า ๆ แล้วจิบน้ำ

 

ความทรงจำเริ่มกลับมา ความรู้สึกที่ถูกอัดเข้าที่ตา ถูกฟาดเข้าที่ขมับ อาการเจ็บปวดที่หลังจากการนอนบนหลังม้า ริมฝีปากแห้งและแตกเพราะความร้อน

 

เธอนึกถึงผู้หญิงคนนั้น ที่ชื่อมุน เธอคือใครกัน เห็นได้ชัดว่าเธอน่าจะมีตำแหน่งอยู่บ้างในสภาของพระราชา เพราะทหารยามทุกคนโค้งทำความเคารพเมื่อเธอเดินผ่าน และเธอก็เป็นผู้คุ้มกันพระราชา แน่นอนว่าเธอต้องเป็นหนึ่งในเหล่าคนมากมายที่เก่งกล้าสามารถ เพราะเธอไม่เคยเปิดเผยข้อมูลอะไรผ่านทางสีหน้าเลย และจำนวนอัญมณีบนดาบของเธอก็เอาไปเลี้ยงดูครอบครัวสิบครอบครัวได้อีกเป็นปีหรือมากกว่านั้น และเธอก็มาติดแหง่กอยู่กับการเป็นพี่เลี้ยงให้เจ้าหญิงแห่งโซลที่ถูกจับมา

 

ยงซอนกินอาหารเสร็จแล้วก็ดันถาดออกไป ความคิดที่รบกวนใจก็เกิดขึ้น แน่ล่ะว่าพระราชาคงไม่ทิ้งเธอไว้ในห้องขังคนเดียวทั้งวันแน่ ความคิดเกี่ยวกับการทรมาน การสอบสวนและความรุนแรงเข้ามารุมล้อม แล้วยงซอนก็สั่นเทาด้วยความกลัว เธอจะไม่ยอมบอกสิ่งที่เธอรู้แน่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม เธอไม่ยอมบอกแน่นอน แต่ถึงกระนั้นแล้วเธอก็กลัวอยู่ดี ถ้าหากว่าเธอถูกฆ่าเพราะท่านพ่อไม่ทำตามความต้องการของราชาแห่งบูชอนเล่า

 

เธอมองกำแพงอีกฝั่งอย่างเหม่อลอย อาการปวดหัวเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ จนกระทั่งเธอได้ยินเสียงกุญแจกระทบกันที่นอกห้องขัง และเสียงไขกุญแจ

 

ประตูห้องขังแสนหนักเปิดออกอีกครั้ง ยงซอนเงยหน้าขึ้นในขณะที่มุนก้าวยาว ๆ เพื่อเดินข้ามพื้นที่ระหว่างเธอสองคน เธอหยุดแล้วย่อตัวลงหน้าถาด ยงซอนสังเกตเห็นว่าผมหน้าม้าของเธอเกาะติดกันเป็นช่อ ปอยผมแนบติดตามด้านข้างใบหน้าและลำคอ แก้มสีแดงเรื่อ และการหายใจของเธอก็เร็วกว่าปกติ เธอหยิบถาดและกำลังจะลุกเดินออกไปตอนที่ยงซอนพูดขึ้นว่า "เดี๋ยวก่อน"

 

มุนเงยหน้าขึ้นจากถาด สายตาที่มืดมนเย็นชาไร้ความรู้สึกตลอดกาลมองไปที่ยงซอน มือเลื่อนจากสะโพกไปยังหัวด้ามดาบ อย่าได้คิดเล่นไม่ซื่อ โชคดีที่ยงซอนไม่ได้วางแผนจะทำอะไรตุกติก โชคร้ายที่มุนดูดียิ่งกว่าเดิมมากนักในสภาพที่เหงื่อชุ่มและดูไม่เรียบร้อย และยงซอนก็เกลียดที่มันมีผลกับเธอนิด ๆ

 

"เอ่อ..." ยงซอนพูด เป็นคำพูดที่ฟังดูฉลาดเสียเหลือเกิน แล้วเธอก็ตำหนิตัวเองที่ทำตัวดูโง่เง่า เธอกระแอม พยายามไม่ละสายตาไปจากมุน "เจ้าเป็นใครกัน"

 

คำถามนั้นไม่ได้รับคำตอบ และถ้าเป็นไปได้ สายตาของมุนลดอุณหภูมิลงไปอีก ๒๐ องศา ยงซอนรู้สึกดีที่การมองแช่แข็งใครไม่ได้ ผู้หญิงคนนั้นจ้องหรือถลึงตาก็ไม่รู้ มาที่เธอ ยงซอนได้กลิ่นชื้นของเหงื่อจากมุน ผู้ที่ปิดปากแน่นสนิท

 

พอยงซอนมั่นใจว่าต้องโดนมุนจัดการแน่ ๆ สายตาของผู้หญิงคนนั้นก็ดุดันยิ่งกว่าเดิม ริมฝีปากแยกออกจากกันเล็กน้อย เสียงของเธอทุ้มต่ำ

 

"ท่านดูแลตัวเองให้ดีเถอะ เจ้าหญิง"

 

เธอพูดแค่นั้นแล้วลุกขึ้นยืน และเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง ประตูแกว่งปิดตามหลัง

 

Like this story? Give it an Upvote!
Thank you!
kidshark
หลังจากที่ขอผู้แต่งไปได้สองปี ในที่สุดบทที่ ๑ ก็มา

Comments

You must be logged in to comment
No comments yet